fbpx
บ้านลลิล The Prestige

ลลิลฯลุยเปิดโครงการใหม่ เกาะเทรนด์อสังหาฯยั่งยืน

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เดินหน้าแผนธุรกิจปี 66 เปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง 10-12 โครงการ มูลค่าเฉียด 8 พันล้านบาท นำร่องทาวน์โฮม ไลโอ 2 โครงการใหม่ 2 ทำเลอ่อนนุช-สุวรรณภูมิ และ สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ 90 พร้อมเดินหน้าพัฒนาแผนการออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยแบบองค์รวม รองรับเทรนด์ของโลกที่มุ่งเน้นความยั่งยืน

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566 โดยคาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของไทยจะขยายตัวได้ราว 3.6-4.0% แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งความไม่แน่นอนภายในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิด Recession ของเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐ ความเสี่ยงที่เกิดจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ ภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในปี 2566 นี้

ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์มีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ จากการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2566 รวมถึงการฟื้นตัวของลูกค้าที่ทำงานในกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ แม้สภาวะเศรษฐกิจ และสภาวะอุตสาหกรรม ในปี 2566 นี้จะยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก แต่บริษัทมีความเชื่อมั่นในแผนการดำเนินธุรกิจ การบริหารงาน และความเชี่ยวชาญของบริษัท จึงมั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวได้ พร้อมกับการเดินหน้าสู่การเป็น National Property Company โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 8,600 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ที่ 6,850 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัว 10% สูงกว่าภาพรวมตลาดที่คาดว่าจะขยายตัวราว 3-5%

ไชยยันต์-ชูรัชฏ์ ชาครกุล

ด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าลลิลมีแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีการบริหารงานที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) รวมถึงการมุ่งเน้นไปสู่การเป็น Digital Organization อย่างเต็มรูปแบบ โดยแผนการตลาด ในปี 2566 จะใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้น Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing โดยต่อยอดการทำตลาดผ่านช่องทาง Digital ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มมากขึ้น และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights

นอกจากนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในรูปแบบของ New Design และ Smart Function ของตัวบ้าน โดยช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทเป็นรายแรกที่นำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศส (French Colonial Style) บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้

ล่าสุดได้ประเดิมเปิดตัวโครงการทาวน์โฮมทำเลคุณภาพ 2 โครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ ไลโอ ด้วยดีไซน์ French Colonial Style ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งในโซนกรุงเทพฯ ตอนใต้ และกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ซึ่งยังคงเป็นที่ต้องการของกำลังซื้อในปัจจุบัน โดยทั้ง 2 ทำเลนี้ ถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยของประเทศ เห็นได้จากการทุ่มงบพัฒนาทั้งด้านระบบสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมที่ดำเนินการโดยภาครัฐ เพื่อหวังสร้างให้เป็นศูนย์กลางชุมชนแห่งใหม่ที่แข็งแกร่ง เพื่อกระจายจำนวนประชากรสู่พื้นที่ศักยภาพรอบกรุงเทพฯ

“ในปี 2566 ที่อยู่อาศัยแนวราบในกลุ่มระดับราคา 2-4 ล้านบาท ทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มกำลังซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพสูง ส่งผลให้บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในกลุ่มดังกล่าวครอบคลุมทุกทำเลโดยรอบกรุงเทพฯ และด้วยการควบคุมในด้านต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ดี ทำให้เราสามารถคงราคาขายบ้านต้นทุนเดิมไว้ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แม้ภาพรวมราคาตลาดบ้านจะปรับขึ้นแล้วก็ตาม ซึ่งถือเป็นกำไรที่ผู้บริโภคจะได้รับจาก ลลิล พร็อพเพอร์ตี้”

สำหรับ 2 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการไลโอ 4 อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ เป็นโครงการทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ในราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2-4 ล้านบาท พัฒนาบนเนื้อที่ 25 ไร่ รวม 245 ยูนิต มูลค่า 600 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮมพร้อมอยู่ ไลโอ สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ 90 ราคาเริ่มต้นที่ 2-4 ล้านบาท พัฒนาบนเนื้อที่ 19 ไร่ รวม 202 ยูนิต ทั้ง 2 โครงการมีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ได้แก่

  • แบบบ้าน LYON พื้นที่ใช้สอย 125 ตร.ม. มี 3 ห้องนอน และ 1 ห้อง Work From Home 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก พร้อมส่วนเตรียมอาหาร และที่จอดรถ 2 คัน
  • แบบบ้าน LILLE พื้นที่ใช้สอย 105 ตร.ม. มี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก พร้อมส่วนเตรียมอาหาร และที่จอดรถ 1 คัน

ทั้งนี้ บริษัทได้นำเทรนด์การอยู่อาศัยของบ้านในฝันมาปรับให้เป็นบ้านจริง รวมความต้องการทั้งด้านสุขภาพ รักษ์โลก ให้มากกว่าเรื่องพื้นที่สีเขียว และชูความเป็นบ้านแบบมัลติฟังก์ชั่น เพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่อาศัยในพื้นที่ที่เป็นมากกว่าคำว่าบ้าน

ปัจจุบันกระแส Green และ Sustainability ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแนวคิด ESG ซึ่งประกอบด้วย Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (บรรษัทภิบาล) เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่ทุกกลุ่มธุรกิจทั่วโลกต่างยึดเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กร สินค้า และบริการมาโดยตลอด บริษัทได้นำแนวทางนี้มาเป็นจุดเริ่มต้นหลักในการพัฒนาให้สอดคล้องกับทุกๆ ส่วนงานเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยจากบ้านหลังแรกสู่บ้านของครอบครัวเพื่อให้เกิดความยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น

“บริษัทกำหนดเป้าหมายที่จะสร้างบ้านภายใต้แนวคิด Sustainable Architecture หรือการสร้างสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืนที่เน้นการออกแบบเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงความสะดวกสบายของการอยู่อาศัยที่ควบคู่ไปกับความยั่งยืนของธรรมชาติ จะเห็นได้จากการพัฒนางานด้านการออกแบบของเราที่ให้ความสำคัญต่อพื้นที่สีเขียวส่วนกลางที่เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมของทุกโครงการให้น่าอยู่ มีความร่มรื่นของต้นไม้เข้ามาช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดการเกิดปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน โดยได้คัดสรรวัสดุตกแต่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างความสมดุลในเรื่องการประหยัดพลังงานของการอยู่อาศัยให้ยกระดับเพิ่มมากขึ้น

สำหรับเทรนด์การอยู่อาศัยในปี 2566 ยังคงมีความใกล้เคียงกับในปีที่ผ่านมา โดยมี 4 ปัจจัยที่ทั้งผู้อยู่อาศัยและผู้ออกแบบยังคงให้ความสำคัญอยู่ต่อเนื่อง ประกอบด้วย

เทรนด์บ้านเพื่อสุขภาพ ผู้บริโภคเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเลือกซื้อบ้านที่อยู่แล้วช่วยทำให้มีสุขภาพที่ดี โดยบริษัทมีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้น อาทิ การใช้สี Silver Nano Technology ที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย

เทรนด์พื้นที่สีเขียว ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ Pain Point ของคนในปัจจุบันที่มีโอกาสใกล้ชิดกับธรรมชาติน้อยลง ดังนั้นการสร้างพื้นที่สีเขียวส่วนกลางที่พร้อมเติมเต็มความต้องการเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญอย่างมาก

เทรนด์ความยั่งยืน จากแนวคิดการใส่ใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทได้พัฒนาบ้านและพื้นที่ส่วนกลางให้ตอบโจทย์ดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันมีการใช้สุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำแบบ 2 ระบบ ช่วยลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น มีระบบไฟ Solar Cell ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อนภายในคลับเฮ้าส์ เพื่อช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลงและประหยัดไฟมากขึ้น

เทรนด์มัลติฟังก์ชัน ปัจจุบัน บ้านในความคิดของผู้บริโภคนั้นต้องเป็นได้มากกว่าบ้าน ต้องสามารถปรับการใช้งานในพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น

“ทั้งหมดนี้ทีม Product Development ของบริษัทไม่เคยหยุดที่จะคิดค้นนวัตกรรมการพัฒนาแบบบ้าน ที่สำคัญในปีนี้เทรนด์การใช้รถพลังงานไฟฟ้ากำลังเป็นที่สนใจอย่างมากของคนไทย เราจึงได้เตรียมพร้อมเพิ่มการออกแบบติดตั้งระบบชาร์จไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าไว้ด้วยเช่นกัน และจะพยายามนำไลฟ์สไตล์เทรนด์ใหม่ๆ เหล่านี้ เข้ามาพัฒนาแนวทางการออกแบบให้พร้อมรองรับกับการอยู่อาศัยในอนาคตอย่างลงตัวที่สุด” นายชูรัชฏ์กล่าว