fbpx
เอสซีจี เซรามิกส์ e1659281899594

เอสซีจี เซรามิกส์ฝ่ามรสุมเงินเฟ้อ ต้นทุนพุ่ง ครึ่งปีแรกยอดขาย-กำไรยังเติบโต

เอสซีจี เซรามิกส์ เผยผลประกอบการครึ่งปี 65 ยอดขาย-กำไร ยังโตจากการคุมค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และปรับราคาขาย ชี้หากราคาพลังงานยังสูงอาจต้องปรับราคาเป็นรอบที่ 3 ประเมินตลาดครึ่งปีหลังยังคงเติบโต พร้อมเร่งขยายช่องทางการขาย ขยายสาขา รุกหนักตลาดรักสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้, โสสุโก้ และ คัมพานา กล่าวถึงผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2565 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสามารถทำกำไรสำหรับงวดครึ่งปีได้ 378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% ใกล้เคียงที่คาดการณ์ไว้ เป็นผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับราคาขายเฉลี่ยเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานเฉพาะในไตรมาสที่ 2/2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 3,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากการขายสินค้าทั้งตลาดในประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้ด้านการส่งออกยังคงมีการขยายตัวที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ เมียนมาร์ กัมพูชาและลาว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสำหรับงวด 167 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญ ได้แก่ ราคาต้นทุนพลังงานและราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

“บริษัทได้ปรับราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ดูปัจจัยราคาตลาดประกอบด้วย โดยครั้งแรกในเดือนเมษายนประมาณ 2% และปรับอีกครั้งในเดือนมิถุนายนประมาณ 1-2% และในปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะปรับราคาอีก 1-2% ถ้าราคาพลังงานยังไม่หยุด”

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจ นอกเหนือจากราคาพลังงาน รวมถึงราคาวัตถุดิบต่างๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ยังมีประเด็นท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญในระยะอันใกล้ คือ เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นซึ่งเป็นแรงกดดันฉุดให้ผู้บริโภคตัดสินใจชะลอแผนซื้อที่อยู่อาศัยแม้ว่าจะยังมีความต้องการซื้อประกอบกับความผันผวนของค่าเงินและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นตามราคาพลังงาน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ยังมีปัจจัยที่ส่งผลดีต่อตลาดวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ มาตรการเปิดประเทศซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวให้ทยอยฟื้นตัวได้ จึงทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าในครึ่งปีหลังนี้จะยังสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อน

“คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างปี 2565 จะยังคงขยายตัว แม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นและตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยกลุ่มผู้บริโภคระดับกลาง-บน ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยและมีพฤติกรรมการเลือกซื้อเปลี่ยนไป คือมีความต้องการบ้านแนวราบนอกเมืองที่มีบริเวณมากขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าประเภทงานโครงการทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญของบริษัทยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง”

นายนำพล กล่าวอีกว่า เพื่อขยายโอกาสในการขายบริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับผู้แทนจำหน่าย ร้านค้าโมเดิร์นเทรด รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มทุกพื้นที่ ทั้งยังขยายสาขาของธุรกิจร้านค้าปลีกกระเบื้องเซรามิก หรือ “คลังเซรามิค” ตลอดจนพัฒนาโมเดลความร่วมมือใหม่ๆ กับผู้แทนจำหน่ายเพื่อเร่งขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายตามแผนงานประจำปี ควบคู่ไปกับการปรับราคาสินค้าเพื่อให้เป็นไปตามกลไกของตลาด โดยบริษัท หลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาแต่จะมุ่งสร้างความแตกต่างด้วยการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด

“ไตรมาสที่ผ่านมาจากการนำเสนอสินค้าผ่านงานสถาปนิก’65 เรายังได้รับการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มนวัตกรรมในกลุ่ม Health and Clean ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันและสินค้าในกลุ่ม ECO Collections ที่มีการลดการใช้ทรัพยากรใหม่มากถึง 80% เมื่อคาดการณ์ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับกระแสความตื่นตัว ทั้งในเรื่องของสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีรวมถึงการให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกมากขึ้น

นับว่าเป็นโอกาสดีที่บริษัทจะเร่งผลักดันและนำเสนอนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรุกตลาดไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี พร้อมกับมุ่งนำเสนอนวัตกรรมรักษ์โลก ที่สร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ SUSUNN ซึ่งเป็นธุรกิจให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดจำหน่าย และติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดหลากหลายประเภท” นายนำพลกล่าว