fbpx
121707886 2464129993884187 786533366302164648 n 1 1536x864 1

สถาพร เอสเตท เปิดเกมรุกธุรกิจอสังหาฯ รีเฟรซแบรนด์ เจาะคนรุ่นใหม่สายเขียว

สถาพร เอสเตท บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับกลางที่อยู่ยงคงกระพันในตลาดที่อยู่อาศัยมานานกว่า 30 ปี จากจุดเริ่มต้นในปี 2531 บริษัท ทรัพย์สถาพร ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยการตั้งบริษัท ทรัพย์หิรัญ ขึ้นมาพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรในจังหวัดสมุทรปราการ และในปี 2534 ตั้งบริษัท เฉลิมนคร ขึ้นมาอีกบริษัทเพื่อพัฒนาโครงการในย่านรังสิต คลอง 3 ในนาม บ้านสถาพร

ก่อนจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2561 โดยการจัดตั้งบริษัท สถาพร เอสเตท พร้อมปรับโมเดลธุรกิจใหม่ขยายขอบเขตการพัฒนาทั้งทำเลและรูปแบบ โดยรุกเข้าสู่ตลาดคอนโดมิเนียมในเมือง และกระจายทำเลบ้านแนวราบออกไปในหลายทิศทาง พร้อมกับตั้งเป้าหมายนำพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2566 แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย แผนการเข้าตลาดจึงถูกเลื่อนออกไปเป็นปี 2568

สถาพร เอสเตท เปิดโครงการไปแล้ว 3 โครงการ โฟกัสไปที่กลุ่ม Mid to High ประกอบด้วย โครงการเดอะ เชดด์ สาทร 1 คอนโดมิเนียมไฮเอนด์โครงการแรกในย่านซีบีดี โครงการอิเธอร์นิตี้ ทาวน์ พริมโรส วัชรพล และโครงการ ดิ อิเธอร์นิตี้ กรีนวู้ด รังสิต-วงแหวน ทั้ง 3 โครงการได้รับผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า ปัจจุบันมียอดขายรวมไปแล้วกว่า 1,150 ล้านบาท และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 850 ล้านบาท รวมถึงมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้

ล่าสุดในปี 2565 สถาพร เอสเตท เปิดเกมรุกต่อหลังจากสัญญาณในตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด หรือ SE กล่าวว่า บริษัทยังมุ่งพัฒนาในเซ็กเมนต์ที่ถนัดคือ กลุ่ม Mid to High โดยในปี 2565 บริษัทได้ทำการรีเฟรชแบรนด์ ปรับสีและรูปแบบโลโก้ให้มีความทันสมัย เข้าใจได้อย่างชัดเจน และจดจำได้ง่ายขึ้น โดยใช้ชื่อย่อบริษัทว่า SE ซึ่งจะเป็นชื่อที่ยื่นของจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯต่อไป

สำหรับสถานการณ์ตลาดในขณะนี้มองว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยในส่วนของที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดน้อยลง

เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจทั้ง 4 ตัวเริ่มทำงาน โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว คาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนการการบริโภคยังคงมีปัญหาใหญ่จากเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น หากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เริ่มคลี่คลายสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น

ขณะเดียวกัน ต้นทุนการก่อสร้างปรับสูงขึ้น 8-9% ผู้ประกอบการจึงต้องบริหารจัดการต้นทุนทั้งในเรื่องของการออกแบบโปรดักต์ การเจรจากับพันธมิตรวัสดุก่อสร้างและผู้รับเหมาะ เพื่อล็อคต้นทุนเก่าเอาไว้ให้ได้นานที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้บริโภคที่ยังคงมีกำลังซื้อเปราะบาง

นายสุนทร กล่าวอีกว่า สำหรับการลงทุนของบริษัทในปีนี้จะยังคงเน้นการ Balance Portfolio ระหว่างที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง เพื่อรักษาสมดุลและลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,306 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ 1 โครงการ คือ เดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส บนถนนพระราม 4 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทั้งสถานีลุมพินี และคลองเตย รวมถึงจุดขึ้น-ลง ทางด่วน เป็นสูง 32 ชั้น จำนวน 183 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,016 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 6-20 ล้านบาทจะเปิดขายในเดือนมิถุนายนนี้

ส่วนอีก 2 โครงการจะเป็นโครงการแนวราบ ได้แก่ ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม-พหลฯ โครงการบ้านสไตล์ใหม่จำนวน 92 ยูนิต พร้อมที่จอดรถถึง 3 คัน มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งสถานีคูคต และสถานีกม.25 ประมาณ 3 กิโลเมตร ในราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลล์ในเดือนกรกฎาคมนี้ และโครงการดิ อิเธอร์นิตี้ พระราม 9-วงแหวน บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ จำนวน 70 ยูนิต มูลค่าโครงการ 730 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 9 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้

โครงการที่พัฒนาโดยบริษัท สถาพร เอสเตท จะยังคง DNA ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่โครงการบ้านสถาพรจนถึงปัจจุบัน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ก็ต้องการความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แต่ละโครงการจะพัฒนาภายใต้แนวคิด “PASSION FOR LIVING WELL” เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดของการออกแบบผสมผสานกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการนำนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ผ่าน 3 กลยุทธ์หลักในการพัฒนาโครงการ ได้แก่

•DESIGN: ให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการใหม่ให้สอดรับกับปัจจุบัน เพื่อทุกชีวิตและธรรมชาติแวดล้อม มีความเป็นเอกลักษณ์ หรูแต่เรียบง่าย ที่สำคัญนอกจากดีไซน์ที่สวยงามแล้วต้องใช้ประโยชน์ได้จริง

•FUNCTIONAL: พัฒนาพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน พร้อมนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ในโครงการต่างๆ มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในแบบ “HUMAN TOUCH LIVABLE”

•PRODUCT FACILIITY: พัฒนาพื้นที่ส่วนกลางให้มีความครบครัน เพื่อให้สามารถตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตแบบ “WELL BEING LIFESTYLE”

จากการรีเฟรชแบรนด์และปรับโปรดักส์ให้ตอบสนองกับคนรุ่นใหม่สายเขียว ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สถาพร เอสเตท บรรลุเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ในปี 2565 กว่า 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูงอยู่ที่ 1,386 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58% และโครงการแนวราบอยู่ที่ 1,014 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% และเป้าหมายการโอนกรรมสิทธิ์ไว้ 1,280 ล้านบาท

ก่อนจากนายสุนทร ทิ้งท้ายไว้ว่า “การแข่งขันที่รุนแรงของผู้ประกอบการรายใหญ่อาจจะสร้างผลกระทบมาถึงผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กในภาวะตลาดมีกำลังซื้ออยู่จำกัด แต่การที่บริษัทรายกลางและรายเล็กจะยืนอยู่ได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจะต้องนำจุดแข็งของผู้ประกอบการรายเล็กมาใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุน ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์และมีคุณภาพที่ดี ก็จะสามารถอยู่รอดได้อย่างปลอดภัย