ตลาดที่อยู่อาศัยกำลังปรับฐานครั้งใหญ่ จากภาพการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ปรากฏชัดเจนว่า ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดมีจำนวนการเปิดตัวที่ลดลงไปมาก เนื่องจากอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นพระเอกในช่วงกลับหลายปีที่ผ่านมากลายเป็นวายร้ายด้วยยอดซัพพลายที่เออล้นจนเกือบจะท่วมตลาด ชนิดที่โทษใครไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมีของ สุดท้ายก็ต้องขายของ(เก่า) กินกันไปในช่วงนี้ ขณะที่บ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบปรับตัวลงเล็กน้อย เพราะเป็นสินค้า real demand ซึ่งคาดว่าจะมีโครงการใหม่เปิดเพิ่มขึ้นอีกมากหลังจากไวรัสโควิด-19 ได้สร้างกระแสใหม่ในการอยู่อาศัยแบบ new normal ทำให้บ้านแนวราบได้รับความสนใจมากขึ้น
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานโครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ใน 6 เดือนแรกของปี 2563 พบว่า มีโครงการเปิดใหม่ทั้งที่เป็นบ้านจัดสรรและอาคารชุดร่วมกันทั้งสิ้น 126 โครงการ จำนวน 26,301 หน่วย โดยจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีโครงการเปิดใหม่รวม 211 โครงการ จำนวน 41,837 หน่วย
ถ้าโฟกัสไปที่อาคารชุดจะเห็นว่า ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมามีโครงการใหม่เปิดตัวไปเพียง 29 โครงการ จำนวน 10,083 หน่วย จำนวนลดลงไปถึงร้อยละ 59 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีโครงการเปิดใหม่จำนวน 24,574 หน่วย จาก 63 โครงการ ขณะที่บ้านจัดสรรมีโครงการใหม่ 97 โครงการ จำนวน 16,218 หน่วย จำนวนหน่วยลดลงเล็กน้อยร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีโครงการเปิดใหม่จำนวน 17,263 หน่วย จาก 147 โครงการ
มาดูกันต่อที่อาคารชุดเปิดใหม่ในรอบ 6 เดือน จำนวน 10,083 หน่วย พบว่า เป็นโครงการของผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 12 โครงการ มีหน่วยรวม 4,925 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 48.8 เปิดตัวน้อยกว่าผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 17 โครงการ มีหน่วยรวม 5,158 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 51.2 โดยแบ่งเป็นโครงการที่เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ 7,306 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 72.5 นนทบุรี 921 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 9.1 ปทุมธานี 1,323 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 13.1 สมุทรปราการ 454 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 4.5 และนครปฐม 79 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 0.8
ส่วนโครงการบ้านจัดสรร ที่มีจำนวน 16,218 หน่วย เป็นโครงการของผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ฯ 59 โครงการ มีหน่วยรวม 11,501 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 70.9 มากกว่าโครงการของผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีจำนวน 38 โครงการ มีหน่วยรวม 4,717 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 29.1 แบ่งเป็นโครงการที่เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ 5,180 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 31.9 นนทบุรี 3,391 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 20.9 ปทุมธานี 3,995 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 24.6 สมุทรปราการ 3,261 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 20.1 และสมุทรสาคร 391 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 2.4
เรียกได้ว่า ณ เวลานี้ บริษัทรายใหญ่ในตลาดต่างกรีธาทัพไปลุยตลาดบ้านจัดสรรกันอย่างคึกคัก โดย 3 อันดับแรกของบริษัทที่เปิดโครงการบ้านจัดสรรมากที่สุดในรอบ 6 เดือนก็ล้วนแล้วแต่เป็นขาใหญ่ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
- บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) เปิด 17 โครงการ จำนวนรวม 2,498 หน่วย
- บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 4 โครงการ จำนวนรวม 1,135 หน่วย
- บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 4 โครงการ จำนวนรวม 1,014 หน่วย
ส่วนอาคารชุดแชมป์เปิดตัวโครงการใหม่มากสุดในรอบ 6 เดือนกลับเป็นบริษัทนอกตลาด แต่ก็ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะมีแบ็กอัพเป็นทุนต่างชาติจากจีน-ฮ่องกง ได้แก่
- บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) เปิด 2 โครงการ จำนวนรวม 2,431 หน่วย
- บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 4 โครงการ จำนวนรวม 1,672 หน่วย
- บริษัท ศุภาลัย เปิด 1 โครงการ จำนวนรวม 1,036 หน่วย
สุดท้ายขอส่องกล้องเฉพาะเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย มีผู้ประกอบการเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวม 18 โครงการ มีจํานวนหน่วยรวม 2,159 หน่วย โดยแบ่งเป็น โครงการอาคารชุด 1 โครงการ มีจํานวนหน่วยรวม 77 หน่วย ลดลงถึงร้อยละ 98.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ ปี 2562 ซึ่งมีจํานวนหน่วยรวม 6,844 หน่วย ส่วนโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่มีทั้งหมด 17 โครงการ จำนวนหน่วยรวม 2,082 หน่วย ลดลงร้อยละ 60.5 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ ปี 2562 ซึ่งมีจํานวนหน่วยรวม 5,273 หน่วย
โครงการบ้านจัดสรรที่เปิดขายใหม่ในเดือนมิถุนายน ส่วนใหญ่กระจายอยู่บริเวณชานเมืองฝั่งตะวันตกและใต้ในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่อาคาชุดซึ่งมีอยู่โครงการเดียวในเดือนมิถุนายนอยู่ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง หากไม่มีการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 เกิดขึ้นในประเทศไทย โครงการเปิดใหม่จะเพิ่มจำนวนขึ้นทั้งแนวราบ และแนวสูง ซึ่งหลายบริษัทก็เริ่มขยับตัวกันไปบ้างแล้ว
แต่โดยภาพรวมปีนี้เป็นปีที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปรับฐานครั้งใหญ่จากวิกฤติไวรัสโควิด-19 นั่นเอง