อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท กำลังเดินหน้าสู่ความท้าทายใหม่ ในการเพิ่มยอดขายและรายได้จากหลัก 1,000 ล้านบาท ไต่ระดับสู่รายได้หลัก 3,000 ล้านบาท และ 5,000 ล้านบาท ตามแผนที่ได้วางเอาไว้ แม้จะเป็นความท้าทายเล็กๆ ของบริษัทพัฒนาที่ดินที่ค่อนข้างจะ Conservative แต่หัวใจสำคัญของภารกิจในครั้งนี้คือการก้าวออกจาก Safe Zone ไปสู่ Exploring Outer Space ด้วยจรวดลำน้อยๆ ภายใต้การนำของกัปตันไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท และทีมงานที่ผสมผสานระหว่างประสบการณ์และความสดใหม่ในการขับเคลื่อนธุรกิจสังหาฯของอีสเทอร์น สตาร์ฯ
“ตลาดอสังหาฯในปีนี้มีทั้งโอกาสและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง แต่สำหรับอีสเทอร์น สตาร์ฯ ยังคงเดินหน้าบุกและจะบุกมากขึ้นด้วยการผลักดันโครงการใหม่ๆ ในเซ็กเมนต์ใหม่ๆ เพื่อสร้างยอดขายและรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นายไพโรจน์กล่าว
ในปี 2567 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ที่ 2,048 ล้านบาท เติบโตจากปี 2566 ราวๆ 30% และเป้ารายได้อยู่ที่ 1,732 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้วถึง 47% โดยจะขยายการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น ขยายกลุ่มเป้าหมายที่มากขึ้น และได้วางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ภายใน 5 ปี (2567-2571) ปีละกว่า 22% ทำให้ในปี 2571 บริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 3,479 ล้านบาท และจะมีโครงการเปิดใหม่ปีละ 2-4 โครงการ โดยวาง 4 กลยุทธ์ เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมาย คือ
1.การรักษาตลาดที่มีอยู่และขยายตลาดใหม่เพิ่ม อย่างเช่นการพัฒนาโครงการที่บ้านฉาง จังหวัดระยองจากเดิมมีรายได้อยู่ที่ 400-500 ล้านบาท ขยับมาเป็น 700 ล้านบาท และจะไปให้ถึง 1,000 ล้านบาท โดยขยายเซ็กเมนต์บ้าน 15-20 ล้านบาทเพิ่ม ส่วนโครงการในกรุงเทพฯจะขยายตลาดบ้านแนวราบมากขึ้นในเซ็กเมนต์ 3-5 ล้านบาท และ 20 ล้านบาท
2.การออกแบบฟังก์ชันต่างๆ ภายในบ้านจะต้องตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้าในทุก Generation โครงการใหม่ๆ ที่ออกมาจะมีฟังก์ชั่นภายในที่เปลี่ยนไปจากเดิม และยังให้ความสำคัญกับ Universal Design
3.การจัดหาซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการในอนาคตเพิ่มทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและจังหวัดระยอง ปีละ 2-3 แปลง กระจายไปในเซ็กเมนต์ต่างๆ ทั้งบ้านแนวราบ และคอนโดมิเนียมที่เราก็ยังมีแผนจะทำอยู่
4.การขยายสัดส่วนบ้านแนวราบขึ้นมาเป็น 40-50% จากเดิม 30% และวางเป้าหมายในการพัฒนาทำเลบ้านฉางให้เป็นเรือธงลำใหม่ของบริษัท พร้อมทั้งขยายทำเลการพัฒนาเข้าสู่อำเภอเมืองระยอง
“จังหวัดระยองกำลังจะเริ่ม Sunshine จากการลงทุนนิคมอุตสาหกรรม ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มเข้ามามากขึ้นทั้ง BYD ฉางอัน และ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขณะที่สนามบินอู่ตะเภา กำลังจะเริ่มลงมือก่อสร้างคิดว่าจะเสร็จภายใน 5 ปี รถไฟความเร็วสูงก็กำลังจะเริ่มเช่นกัน ขณะที่โครงการลงทุนต่างๆ ในพื้นที่ก็เริ่มเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของแรงงานที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาในพื้นที่ สังเกตได้จากโครงการระดับ 5-9 ล้านบาท และ 15-20 ล้านบาท มียอดขายที่ดีมากจากกำลังซื้อใหม่ๆ ที่เข้ามาในจังหวัดระยองอย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมา
ขณะที่บริษัทมีที่ดินในระยองอยู่เกือบๆ 3,000 ไร่ เป็นที่ดินที่บ้านฉาง 1,800 ไร่ ส่วนหนึ่งเป็นสนามกอล์ฟ 1,400 ไร่ และยังมีที่ดินรอการพัฒนาในสนามกอล์ฟเหลืออยู่อีก 200 ไร่ รวมถึงที่ดินในเมืองบ้านฉางติดกับโรบินสัน ที่ดินริมทะเล และยังมีที่ดินที่บ้านค่ายอีก 600 ไร่ ที่อำเภอเมืองระยองอีก 300 ไร่ ที่รอการพัฒนา ถ้าอีอีซีจุดพลุขึ้นมาเมื่อเราก็สามารถนำมาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้หลากหลายรูปแบบ และที่สำคัญเป็นแลนด์แบงก์ที่เราสะสมมานาน ขณะที่ราคาที่ดินปัจจุบันปรับขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 20-30%”
นายไพโรจน์กล่าวอีกว่า ในปี 2567 จะเป็นปีที่เราจะออกจาก Safe Zone โดยเริ่มขยายโครงการมากขึ้น ขยายเซ็กเมน์ไปเป็น 10-15 ล้านบาท และ 20 ล้านบาทมากขึ้น เริ่มกระจายทำเลออกไปมากขึ้น จากเดิมที่เน้นคอนโดอยู่ในกรุงเทพฯ จะให้ความสำคัญกับพื้นที่บ้านฉาง ซึ่งในจังหวัดระยองมี Market Size อยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาทถือว่าไม่ธรรมดา และเรายังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก
ส่วนในกรุงเทพฯบริษัทยังมีที่ดินรอการพัฒนาอีก 2 แปลง คือ ที่ดินบริเวณรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีแยกติวานนท์ เนื้อที่เกือบๆ 8 ไร่ เตรียมจะพัฒนาคอนโดประมาณปลายปี 2568 และที่ดินบริเวณซอยเย็นอากาศอีกกว่า 3 ไร่ จะรอพัฒนาหลังโครงการวัน แบงค็อกเปิด หรืออาจจะขายให้นักลงทุนพัฒนาเป็นอพาร์ตเมนต์รองรับโครงการวัน แบงค็อก และมีแผนจะซื้อที่ดินเพิ่มอีก 3 แปลง แบ่งเป็น ในกรุงเทพฯ 2 แปลง และซื้อเพิ่มที่บ้านฉางอีก 1 แปลง รองรับการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบในปีหน้า
สำหรับในปี 2567 บริษัทจะมีโครงการเปิดใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,600 ล้านบาท ประกอบด้วย ทำเลโซน บ้านฉาง จังหวัดระยอง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
โครงการบ้านเดี่ยว Velana Hyde อู่ตะเภา-บ้านฉาง ระยอง มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 128 หลัง ราคาเริ่มต้น 5-9 ล้านบาท เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับ Mid-High Level ซึ่งบริษัทได้ต่อยอดจากความสำเร็จของโครงการ Velana Amoda ที่ผ่านมา ในทำเลเดียวกัน โดยวางคอนเซ็ปต์ Luxury Classic สะท้อนความงดงาม สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิต โดยการออกแบบตัวบ้านและโครงการได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมยุโรป
โครงการบ้านเดี่ยว Grand Velana Pool Villa บ้านฉาง ระยอง จำนวน 6 หลัง มูลค่าโครงการ 120 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท เป็นบ้านหรูสไตล์รีสอร์ทที่อยู่ในสนามกอล์ฟ วางกลุ่มเป้าหมายรองรับลูกค้าระดับผู้บริหารที่ทำงานบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าของกิจการ รวมถึงลูกค้าในบริเวณบ้านฉาง ซึ่งถือว่ามีกำลังซื้อศักยภาพสูง
ส่วนในพื้นที่กรุงเทพ 1 โครงการ โครงการ Eston ลาดกระบัง- สุวรรณภูมิ ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น จำนวน 160 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 3.29-5 ล้านบาทขึ้นไปเป็นทาวน์โฮมสไตล์ British Georgian บนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อทุกการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ใกล้สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ รองรับกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นพนักงานที่ทำงานในพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ นิคมอุตสากรรมลาดกระบัง พระราม 9 และศรีนครินทร์ ที่มองหาบ้านที่ไม่ไกลจากแหล่งงานและที่อยู่เดิม
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ Active อยู่ทั้งหมด 11 โครงการมูลค่ารวม 5,600 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการในโซนกรุงเทพฯจำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 70% ส่วนที่บ้านฉาง จังหวัดระยอง อีก 5 โครงการมูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 30%
“แนวทางการพัฒนาโครงการในปีนี้ บริษัทยังคงประเมินตามทิศทางภาพรวมของตลาดล่วงหน้า โดยฝ่าหลายปัจจัย อาทิ หันมาจับกลุ่มตลาดกลาง-บน มากขึ้น เนื่องจากกลุ่มนี้ยังมีดีมานด์ต่อเนื่องและยังมีกำลังซื้อได้แม้อัตราดอกเบี้ยจะขยับตัว นอกจากนี้ยังจับกลุ่มชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ชาวจีน ไต้หวัน รัสเซีย และพม่า ที่กำลังเผชิญปัญหา ความขัดแย้งและความมั่นคงภายในประเทศ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ยังสนใจอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยราคาอสังหาริมทรัพย์ของไทยราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้กลุ่มชาวต่างชาติยังคงทยอยเข้ามาซื้อเพื่ออยู่อาศัย ลงทุนปล่อยเช่า และแม้แต่เข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการ สอดรับกับ 3 โครงการใหม่ที่เตรียมเปิดในปีนี้ของอีสเทอร์น สตาร์ฯ” นายไพโรจน์กล่าว
การเปิดเกมรุกขยายโครงการ ขยายเซ็กเมนต์ และกระจายทำเล เริ่มเห็นผลในเชิงบวกจากผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทยังสามารถดันยอดขายนิวไฮ แตะ 510 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 75% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ยอดขายเพียง 292 ล้านบาท ขณะที่ยอดโอนในไตรมาสแรกอยู่ที่ 300 ล้านบาท โตเพิ่ม 21% โดยแบ่งเป็นยอดขายโครงการในกรุงเทพ ทั้งโครงการแนวสูงและบ้านแนวราบ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท และมียอดโอนที่ 165 ล้านบาท เติบโต 26% ส่วนยอดขายโครงการบ้านแนวราบที่บ้านฉาง จังหวัดระยอง อยู่ที่กว่า 109 ล้านบาท มียอดโอนที่ มูลค่า 135 ล้านบาท เติบโต 16%
ภารกิจ Exploring Outer Space จะประสบผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหนในยามที่ตลาดอสังหาฯมีปัจจัยด้านลบมากกว่าปัจจัยด้านบวก จรวดลำน้อยที่ชื่ออีสเทอร์น สตาร์ฯ จะพุ่งขึ้นไปได้แค่ไหนต้องคอยติดตามครับ