เอสซีจี ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 และรอบ 6 เดือน ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยังติดลบจากเศรษฐกิจอาเซียนที่ชะลอตัวลง ขณะที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว ส่งผลให้ตลาดวัสดุก่อสร้างเมืองท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น พร้อมส่ง SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ชิงแชร์ตลาดวัสดุตกแต่งผิวและสุขภัณฑ์อาเซียนที่คาดว่าจะมีมูลค่าตลาด 78,000 ล้านบาท ในปี 2569
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ได้กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จีน และอาเซียน ที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ แต่เอสซีจีได้ปรับตัวต่อเนื่องตามแผนงานด้วยการลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ด้วยอานิสงส์จากการท่องเที่ยว ตลาดวัสดุก่อสร้างดีขึ้นโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว
ในไตรมาส 2 ปี 2566 เอสซีจีมีรายได้รวม 124,631 ล้านบาท มีกำไรสำหรับงวด 8,082 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 5,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นในธุรกิจเคมิคอลส์ และต้นทุนพลังงานที่ลดลง
“นอกจากปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังปรากฏการณ์ภัยแล้งเอลนีโญ ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงสิงหาคมปีนี้ถึงปลายปีหน้า อย่างไรก็ตาม สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หรือ สสน. คาดการณ์ว่า ในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคมปีนี้จะมีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ ทุกภาคส่วนควรกักเก็บน้ำสำรองไว้ให้มากที่สุด และใช้น้ำกันอย่างประหยัด เพราะปีหน้าอาจเกิดเอลนีโญระดับรุนแรง และเกิดภาวะขาดแคลนน้ำในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร ท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรม” นายรุ่งโรจน์กล่าว
ขณะเดียวกัน เอสซีจี เตรียมคว้าโอกาสตลาดโลกฟื้นด้วยการเร่งเครื่อง 4 ธุรกิจตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก ได้แก่
1.โครงการปิโตรเคมีครบวงจรใหญ่สุดในเวียดนาม ฐานผลิตสำคัญของภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ผลิตนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำป้อนตลาดโลก ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว
2.ผนึกกำลังกับคู่ธุรกิจชั้นนำระดับโลกด้านนวัตกรรมกรีน ยกระดับ Green Innovation ตอบโจทย์ความต้องการตลาดโลก และสอดคล้องกับเทรนด์ ESG ได้แก่ นวัตกรรม ‘Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ’ โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงผลิตเป็นวัตถุดิบสำหรับพลาสติก Bio-PET ที่ย่อยสลายได้
3.ลงทุนในเทคโนโลยีวัสดุกักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาดที่เก็บอุณหภูมิได้สูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน ตอบโจทย์
การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมสีเขียวตามเป้าหมาย Net Zero
4.เตรียม SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ผู้นำตลาดอาเซียนด้านวัสดุตกแต่งผิวและสุขภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสโตสูงถึง 78,000 ล้านบาทในปี 2569
สำหรับ รายละเอียดของงบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ไตรมาส 2 ประจำปี 2566 มีดังนี้
เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 124,631 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขายลดลง ในขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น โดยเอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 8,082 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 51 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ในไตรมาสก่อน
ทั้งนี้มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) 5,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (ธุรกิจยานยนต์)
ขณะที่ ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2566 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว มีกำไรสำหรับงวด 24,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ขณะที่มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) 9,786 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) ในครึ่งปีแรกของปี 2566 มีรายได้ 86,411 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม มียอดขายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Green Choice 137,258 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54 ของรายได้จากการขายรวม นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ทั้งสิ้น 108,672 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43 ของรายได้จากการขายรวมสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 มีมูลค่า 942,018 ล้านบาท โดยร้อยละ 45 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (ไม่รวมไทย)
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2566 ในอัตรา 2.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2566 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวัน 9 สิงหาคม 2566 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 10 สิงหาคม 2566
ด้านนายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า เศรษฐกิจอาเซียนชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อยอดขายทั้งกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics เนื่องจากได้รวมกิจการกับ JWD ในไตรมาสแรก ในขณะที่ยอดขายธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลงเล็กน้อย แต่คาดว่ากำลังซื้อจะกลับมาโดยเฉพาะนวัตกรรมสินค้า บริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่า สะดวก ปลอดภัย รักษ์โลก ประกอบกับอาเซียนมีประชากรกว่า 560 ล้านคน เอสซีจีเตรียมคว้าโอกาสนำ SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปักธงเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียน ชูนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569
ในส่วนของผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 46,432 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics เนื่องจากได้รวมกิจการกับ JWD ในไตรมาสแรก รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทยที่ถดถอย โดยมีกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,250 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนที่ถดถอย
ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2566 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 97,232 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 14,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,302 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลการดำเนินงานแบ่งตามธุรกิจ ดังนี้
•ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 21,340 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยครึ่งปีแรกของปี 2566 ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน มีรายได้จากการขาย 44,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
•ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 6,247 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยครึ่งปีแรกของปี 2566 ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง มีรายได้จากการขาย 12,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
•ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 31,049 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยครึ่งปีแรกของปี 2566 ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล มีรายได้จากการขาย 64,025 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน