เอสซี แอสเสท เดินหน้าสู่เฟสที่ 3 ของการดำเนินธุรกิจภายใต้วิกฤติโควิด-19 หลังจากเฟสแรกเกิดขึ้นในปี 2562 ด้วยความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวรอดจากวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และเฟสที่ 2 ในปี 2563 คือการเตรียมความพร้อมเพื่อเดินหน้าต่อหลังมีภูมิต้านทานทางธุรกิจเพียงพอที่จะสร้างการเติบโต และถือว่าทำได้ดีด้วยการสร้างสถิติใหม่ทั้งด้านรายได้และยอดขาย รวมถึงการลงทุนแลนด์แบงก์มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท สำหรับขยายการลงทุนในปี 2564 ซึ่งเป็นเฟสล่าสุดด้วยการวางโรดแมป 4 ปี กับการสร้างรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องรวมกว่า 1 แสนล้านบาท ภายใต้แนวคิด SC Thriving for Good ซึ่งเป็นการเติบโตบนวิถีโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม โดยมุ่งสร้างคุณค่าสู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่องค์กรที่ยั่งยืน
เอสซี แอสเสท วางเป้าเติบโตบนวิถีโลกใหม่
“ปีนี้จะเป็นปีที่เราอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงก่อนที่วิกฤติโควิดจะจบลง ซึ่งการจะเติบโตอย่างยั่งยืนบนวิถีโลกใหม่หลังโควิดได้ต้องเข้าใจก่อนว่า ทุกสิ่งในโลกมันเชื่อมต่อกัน เชื่อว่าวันนี้เราทุกคนเข้าใจ เรียนรู้เรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งมากๆ จากโควิดที่ผ่านมา เพราะถ้าย้อนกลับไปในเดือนธันวาคม 2561 มีผู้ป่วยโควิด 1 คนจาก 1 ดินแดน ผ่านมา 26 เดือน จากผู้ป่วย 1 คน กลายเป็นผู้ป่วย 400 ล้านคน จาก 200 ดินแดน
ผู้ป่วยที่เกิดขึ้น 1 คน ได้สร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นมากมาย สร้างพฤติกรรมใหม่ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Work from Anywhere หรือ Home is Everything จาก Pandemic ไปสู่ Economic และไปสู่ Politic เชื่อว่าทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกันอย่างลึกซึ้งว่า ทุกสิ่งมันเชื่อมต่อกันจริงๆ
เพราะฉะนั้นการเติบโตในโลกยุคใหม่ถ้ามองแต่กำไรอย่างเดียว เราคงไปได้ไม่ไกลและคงไม่ยั่งยืน การมองแต่กำไรอย่างเดียวได้ล้าสมัยไปแล้ว เพราะว่าวันนี้ทุกสิ่งมันเชื่อมต่อกัน องค์กรที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนในวิถีโลกใหม่ต้องมองให้ครบทั้ง Profit People และ Planet คุณค่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ขณะที่กำไรก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรม การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คน เพียงแต่ว่าที่มาของกำไร และวิธีการสร้างกำไรสำคัญยิ่งกว่า
องค์กรที่จะเติบโตบนวิถีโลกใหม่จะต้องสร้างคุณค่า แล้วคุณค่าจะไปสร้างกำไร กำไรจะกลับมาสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน นี่คือวิธีคิดของการเติบโตบนวิถีโลกใหม่ ซึ่งเป็นทิศทางของเอสซี แอสเสทใน 4 ปีนับจากนี้ ภายใต้แนวคิด SC Thriving for Good : เอสซี สร้างคุณค่า เชื่อมต่อ Solutions สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม” นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อธิบายแนวคิด SC Thriving for Good
วางโรดแมป 4 ปี ปั๊มรายได้แสนล้าน
นายณัฐพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า ใน 4 ปีของโรดแมป “SC Thriving for Good” จะขับเคลื่อนด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลักซึ่งประกอบด้วย
ยุทธศาสตร์ 1: Thriving การเติบโตบนสมรภูมิเดิม และน่านน้ำใหม่ วางเป้าหมายการเติบโตต่อเนื่องตลอด 4 ปี สร้างรายได้รวมกัน 1 แสนล้านบาท โดยในปี 2565 เอสซี แอสเสทตั้งเป้ารายได้ไว้เกินกว่า 2 หมื่นล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องทุกปีไปเตะที่ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2568
สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นจะมาจากการพัฒนาโครงการทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบ คอนโดมิเนียม และธุรกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้น พร้อมกับฐานการเงินที่เข้มแข็งรองรับได้ทั้งการเติบโต และวิกฤติที่ยังอาจจะเกิดขึ้นได้
ปั้นแบรนด์คอนโดเจาะกลุ่ม Gen Y
ในส่วนของที่อยู่อาศัยแนวราบบริษัทตั้งเป้าสร้างรายได้ให้ถึง 2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และจะเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในตลาด ส่วนคอนโดมิเนียมภายใน 4 ปี จะเปิด 10 โครงการ มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าจะเป็นแบรนด์คอนโดอันดับ 1 ของคน Gen Y ด้วยคอนโดแบรนด์ใหม่ที่รองรับทัศนคติและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังโควิดของคน Gen Y โดยเฉพาะ
ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนของกำไรจากการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในเรื่องของ Work from Anywhere และ Home is Everything โดยจะมีการปรับปรุงออฟฟิศของเอสซีทั้งหมด เพื่อให้ตอบโจทย์วิธีการทำงานบนวิถีโลกใหม่ เป็น Hybrid Workplace พร้อมกับเปิดแบรนด์โรงแรมใหม่ภายใต้แนวคิด Workation Hotels รวมทั้งการลงทุน อพาร์ตเมนต์เพิ่มที่สหรัฐที่กำลังกลับมาเติบโต และอีกหนึ่งธุรกิจใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงกลางปีนี้ โดยตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจบนน่านน้ำใหม่เกินกว่า 100% ในเวลา 4 ปี
เชื่อมต่อเทคโนโลยี่ทำให้บ้านฉลาดยิ่งขึ้น
ยุทธศาสตร์ 2: Connecting การเชื่อมต่อทุกสิ่งถึงกัน พร้อมกับสร้างคุณค่าที่มากกว่า เริ่มต้นจากการเชื่อมต่อเทคโนโลยี่เข้ากับสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งปี 2561 โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาทำให้บ้านฉลาดขึ้นผ่านแพลตฟอร์ม รู้ใจ OS และจะพัฒนาให้บ้านฉลาดยิ่งขึ้นด้วย AI ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงอย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงระบบ active airflow ที่ช่วยถ่ายเทอากาศด้วยระบบออโตเมติก ระบบตรวจจับควัน และยังมีเทคโนโลยีอีกหลากหลายที่จะตามมา
การเชื่อมต่อที่ 2 จะทำผ่าน Blockchain Technology เชื่อมต่อกับ Solutions จากหลากหลาย Ecosystems ให้กับลูกค้า พนักงาน และคู่ค้า ผ่าน SC Morning Coin ซึ่งเป็น Utility Token ที่จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 4 เพื่อใช้แลกกับ Solutions ต่างๆ ใน Ecosystems
ส่วนการเชื่อมต่อที่ 3 เป็นการเชื่อมต่อภายในองค์กร พนักงานกว่า 1,200 คน จะถูกเชื่อมต่อกัน ระบบ Data ต่างๆ ในองค์กรจะถูกเชื่อมต่อถึงกัน เพื่อการทำงานที่คล่องตัว รวดเร็ว แม่นยำ ผ่านข้อมูลทั้งหมดที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยเทคโนโลยี และการสื่อสารที่สม่ำเสมอและทั่วถึง และเราจะทำความเข้าใจลูกค้าของเราจาก Data ที่มีทั้งหมดในองค์กร
สร้าง-ส่งต่อคุณค่าเติบโตอย่างยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ 3: Sustaining ยั่งยืน สร้างคุณค่า สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะประกอบด้วย
-การสร้างคุณค่าส่งไปยังลูกค้า ด้วยสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง
-การสร้างคุณค่าให้กับพนักงานและคู่ค้า โดยตั้งเป้าให้เอสซี แอสเสท จะเป็นองค์กรอสังหาฯอันดับ 1 ที่น่าทำงานด้วยภายในปี 2568 ด้วยนโยบาย “สมดุลดี สังคมดี และอนาคตดี”
การสร้างคุณค่าส่งต่อไปให้ทุกคนด้วยการเป็นองค์กรที่เติบโตควบคู่กับความใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น โดยตั้งเป้าลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ลง 20% ภายในปี 2568 เป็นเป้าหมายแรก
ปี 65 ผุด 27 โครงการใหม่ 4 หมื่นล้าน
สำหรับแผนในปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้และยอดขายที่ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการสูงเป็นสถิติใหม่ 27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ที่อยู่อาศัยแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า 70% เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท
ส่วนคอนโดมิเนียมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 6,500 ล้านบาท ทำให้ในปี 2565 บริษัทจะ มีโครงการพัฒนาเพื่อขายรวมทั้งสิ้น 78 โครงการ มูลค่า 69,000 ล้านบาท และจะยังลงทุนอย่างดุดันต่อเนื่องด้วยการจัดงบลงทุนที่ดินใหม่อีก 11,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2568
รุกตลาดบ้าน คอนโดหรู 50-140 ล้าน
ในปีนี้บริษัทจะเปิด 2 แบรนด์ใหม่เป็นอย่างน้อย เป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวราคามากกว่า 50 ล้านบาท อยู่บนทำเลเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา และแบรนด์คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์คน Gen Y ทั้งในเรื่องของพื้นที่และเทคโนโลยี่ ทำเลอยู่ใกล้กับสถานีบีทีเอสวงเวียนใหญ่ ส่วนคอนโดอีกโครงการเป็นแบรนด์สโคปที่จะเป็นโครงการที่ 3 อยู่บนทำเลติดบีทีเอสทองหล่อจำนวน 20 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 140 ล้านบาท
“การพัฒนาโครงการคอนโดของบริษัทจะทำใน 2 แกนหลัก ที่เรามองว่ามีโอกาสในทั้ง 2 ตลาด ก็คือโครงการในระดับลักชัวรี่ที่ยังมีดีมานด์ที่แข็งแรงอยู่ และโครงการที่รองรับกลุ่มคน Gen Y ที่ใน 4-5 ปีจากนี้จะเป็นกลุ่มที่มีดีมานด์จำนวนมากที่สุด” นายณัฐพงศ์ กล่าว
อสังหาฯแนวราบดีมานด์ยังแรงต่อเนื่อง
นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ตลาดอสังหาฯได้ผ่านจุดแย่ที่สุดในปี 2564 ไปแล้ว ในปี 2565 จะมีความคึกคักขึ้น แต่การแข่งขันจะเป็นของรายใหญ่ที่จะมีความดุเดือดขึ้น ในส่วนของบ้านแนวราบ ซึ่งถือเป็น Solutions ของโลกยุคใหม่ทำให้ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมายอดขายบ้านเติบโต 29% มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และจะยังมี momentum ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ตลาดบ้านแนวราบจะยังไปได้ดี
ส่วนตลาดคอนโดจะไม่แย่ไปกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน เพราะตั้งแต่เกิดโควิดมาความต้องการไม่ได้ลดลง ขณะที่สินค้าเริ่มถูกดูดซับออกไป แม้ตัวเลขจะยังคล้ายเดิม แต่ในปีนี้มีความหวังมากขึ้น เพราะในครึ่งปีหลังต่างชาติมีโอกาสจะกลับเข้ามาจากการผ่อนคลายในเรื่องของการเดินทางในหลายประเทศ และคาดว่าในปีหน้าคอนโดจะกลับมาดีขึ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจ ก็คือ อัตราเงินเฟ้อซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อลดลงไป ขณะที่ต้นทุนอาจจะกระทบบ้างแต่ยังคงไม่มากนัก แต่คาดว่าในไตรมาส 2-3 สถานการณ์เงินเฟ้อน่าจะดีขึ้น รวมถึงปัญหาแรงงานที่ย้ายถิ่นและเกิดปัญหาขาดแคลน และหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 90% แต่รายได้ของเราไม่ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อดีมานด์ในตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทในระยะยาว
ทั้งหมดคือแนวคิดและโรดแมป 4 ปีของเอสซี แอสเสท ที่มุ่งไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน แบ่งปันผลกำไรไปสู่ผู้คนและโลก แม้ว่าจะออกแนวๆ เดียวกับอสังหาฯพี่ใหญ่สายเดียวกันบางค่ายอยู่บ้าง แต่ก็น่าดีใจที่ธุรกิจอสังหาฯเวลานี้เริ่มคิดถึงการส่งผ่านผลประโยชน์ที่จะได้ไปยังผู้คนอื่นและส่วนรวมกันมากขึ้น แม้จะเล็กจะน้อยถือว่าได้เริ่มทำก็จัดว่าดีแล้ว แต่จะจริงจังแค่ไหนเป็นเรื่องที่ต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ