โนเบิล เปิดเกมรุกอสังหาฯปี 65 เตรียมส่ง 18 โครงการใหม่ทั้งแนวราบ แนวสูง มูลค่ารวมกว่า 4.7 หมื่นล้าน ลุยตลาด ประเดิมปูพรม 5 คอนโด มูลค่า 1.5 หมื่นล้าน เจาะทำเลใกล้ห้าง พร้อมขยายลงทุนอพาร์ตเมน์ในสหราชอาณาจักรอีกกว่า 4,500 ล้าน ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 2.8 หมื่นล้าน รับรู้รายได้ 1.1 หมื่นล้าน พร้อมขึ้นสู่ top 5 ในอนาคต
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จะฟื้นตัวขึ้นจากปี 2564 แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อย่าง “โอมิครอน” แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากนัก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อ Sentiment ของคนในประเทศที่เริ่มผ่อนคลายความกังวล ประกอบกับภาครัฐที่มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดมากขึ้น
ประกอบกับ การต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมจำนอง ออกไปถึงสิ้นปี 2565 การมีนโยบายผ่อนปรนต่างชาติให้เข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ไทยได้นานขึ้น รวมถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ไปถึงสิ้นปี 2565 ซึ่งถือว่าเป็นอานิสงส์เชิงบวกต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้
จากปัจจัยเชิงบวกข้างต้น ส่งผลให้บริษัทวางกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับปี 2565 โดยยังคงมุ่งเน้น ขยายธุรกิจเชิงรุกสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 47,700 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการประเภทแนวราบซึ่งรวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,800 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม High Rise 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,900 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของโครงการแนวราบ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อให้มีสินค้ากระจายและรองรับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย
การพัฒนาโครงการในแนวราบจะช่วยให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้นเนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง โดยคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเกือบ 50% (ตามสัดส่วนการลงทุนของบริษัท) โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการในทำเลที่กระจายตัวมากขึ้นเพื่อครอบคลุมทุกความต้องการในทุกมิติของผู้อยู่อาศัยในทุกทิศของกรุงเทพฯ เช่น ถนนเอกมัย-รามอินทรา ทำเลโซนดอนเมือง ถนนศรีนครินทร์ ถนนกรุงเทพกรีฑา ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนสุขสวัสดิ์ ถนนราชพฤกษ์ รวมถึงทำเลกลางใจกลางเมือง อาทิ ถนนเพลินจิต เป็นต้น
นายธงชัย บุศราพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในช่วงไตรมาส 1 บริษัทเตรียมประเดิมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่พร้อมกัน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท โดยชูจุดเด่น 3 คอนโดฯติดห้าง 1 โครงการใจกลางอารีย์ และ 1 โครงการแลนด์มาร์คใจกลางดอนเมือง ได้แก่
1.โครงการ นิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 มูลค่าโครงการ 6,200 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม High Rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดิสทริคที่ตอบโจทย์ชีวิตไดนามิก ใจกลางพระราม 9” คอนโดใกล้ห้างเซ็นทรัลพระราม 9 และ ใกล้ MRT เพียง 180 เมตร ใกล้จุดเชื่อมต่อสถานี Interchange BTS อโศก และ Airport Rail Link มักกะสัน ด้วยห้องหน้ากว้างในราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท
2.โครงการ นิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม High Rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เมื่อทุกสิ่งที่คุณต้องการอยู่ใกล้… เพียงแค่ก้าว PLUS ชีวิตในฝัน ให้ MEGA กว่าใครที่ นิว เมกา พลัส บางนา” คอนโดติดห้างเมกา บางนา 0 เมตร ดีไซน์โมเดิร์น จริตคนเมือง ด้วยห้องหน้ากว้างในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท
3.โครงการ นิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม Low rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ ใช้ชีวิตให้ไม่ไกลเมืองอีกต่อไปกับคอนโด Low rise ห้องหน้ากว้าง คอนโดฯ ใกล้ห้างซีคอนสแควร์ ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองสถานี ‘สวนหลวงร.9’ เพียงแค่ 3 นาที เชื่อมต่อทุกการเดินทางอย่างง่ายดาย ครอบคลุมตั้งแต่ MRT สายสีน้ำเงิน /สายสีส้ม/ สายสีเขียว และ Airport Rail Link ในราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
4.โครงการ นิว โนเบิล อีโว อารีย์ มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม High Rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ Evo ชีวิตให้ชิดอารีย์กว่าใคร! กับคอนโดหน้ากว้าง บนที่ดินผืนท้ายๆ ใจกลางย่านอารีย์ ใกล้ BTS อารีย์เพียง 300 เมตร ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท หรือ 130,000 บาท/ตรม.
5.โครงการ นิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม High Rise และ Low Rise แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางดอนเมืองกับคอนโดดีไซน์โมเดิร์น ห้องหน้ากว้าง ติดถนนใหญ่เข้าออกได้ 2 ทาง พหลฯ-วิภาวดี ใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย นาทีเดียวขึ้นโทลล์เวย์ 5 นาทีถึงสนามบินดอนเมือง ในราคาเริ่มต้น 1.09 ล้านบาท
ส่วนโครงการอื่นๆ อีก 13 โครงการทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูง และแนวราบ บ้านแฝด และทาวน์โฮมจะ ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้อีก 14 โครงการ โดยได้ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 28,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 11,000 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของบริษัทในปี 2564 ที่ผ่านมาได้เริ่มซื้ออพาร์ตเมนต์กว่า 40 ห้องในใจกลางเมืองแมนเชสเตอร์ และเมืองลีดส์ มูลค่ารวม 6.7 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง โดย ณ สิ้นปี 2564 บริษัทสามารถทำการขายได้มากกว่า 30% ของจำนวนห้องทั้งหมด โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ 35% บริษัทเชื่อว่าโมเดลธุรกิจนี้จะเป็นโมเดลธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างรายได้ประจำที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับอัตรากำไรที่ดีจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าว
สำหรับปี 2565 บริษัทได้ตั้งเป้าการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้วจำนวน 550 ห้อง ในแถบมิดแลนด์ และตอนเหนือของอังกฤษ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (4,512 ล้านบาท) จากสถานการณ์สภาวะตลาดในปัจจุบันมีความน่าสนใจเนื่องจากราคาซื้อขายต่ำกว่าอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างใหม่กว่า 30% และด้วยระยะเวลาการลงทุนที่สั้นบริษัทฯคาดว่าอัตราผลตอบแทนของส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ประมาณ 20-25%
นอกจากนี้ นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “โนเบิล” อยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มช่องทางในการชำระเงินให้กับลูกค้า โดยการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการใช้คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เบื้องต้นคาดกระบวนการจะเสร็จสิ้นและสามารถชำระได้ภายในไตรมาส 2/2565 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ และยังเป็นการสอดรับกับกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่คาดว่าจะกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2565
สำหรับการเพิ่มช่องทางชำระเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าวโดยเฉพาะกับลูกค้าต่างชาติ เป็นการตอกย้ำจุดแข็งของบริษัทที่สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ได้ถึง 56% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติ ทั้งนี้จากการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์การขยายการลงทุนส่งผลให้บริษัทยังคงตอกย้ำสู่การเป็นผู้นำด้านการพัฒนาแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทยติดอันดับ TOP 5 ในอนาคต