ธุรกิจรับสร้างบ้านเปิดศักราชของปี 2564 ได้ค่อนข้างคึกคัก ด้วยหลากหลายปัจจัยที่เป็นแรงหนุน ข้อแรกคือ ความต้องการสร้างบ้าน ที่อั้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เริ่มกลับคืนตลาดอีกครั้ง ขณะเดียวกัน บริษัทรับสร้างบ้าน แต่ละค่ายต่างก็อัดโปรโมชั่น เพื่อดันยอดขายกันอย่างเต็มกำลัง
ส่วนอีกเหตุผลที่สำคัญคือ การเรียกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แม้ว่าจะยกเว้นเก็บแค่ 10% ในปีที่ผ่านมาและปี 2564 แต่ก็มีผลเชิงจิตวิทยาทำให้คนที่มีที่ดินในมือแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ นำมาสร้างที่อยู่อาศัยกันมากขึ้น
ปัจจัยต่างๆ ดังที่กล่าวมา จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ สำหรับตลาดรับสร้างบ้าน ในปี 2564 ยิ่งเมื่อเริ่มเห็นทิศทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตลาดเริ่มฟื้นกลับมาได้เร็ว แต่ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดจะยังคงรุนแรง ซึ่งนอกจาก บริษัทรับสร้างบ้าน จะแข่งกันโปรโมชั่นกันอย่างดุเดือดแล้ว บริษัทรับสร้างบ้านแต่ละรายยังต้องพยายามหาช่องทางในการสร้างการเติบโตที่มั่นคงในอนาคต โดยเฉพาะการขยายหาตลาดใหม่ๆ ในทะเลสีน้ำเงิน (ฺblue ocean)
บ้านราคา 5-10 ล้านดีมานด์ยังแรง
จากการจัดงาน “รับสร้างบ้าน FOCUS 2021” ของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ทำให้มองเห็นภาพความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคในช่วงต้นปีนี้ได้เป็นอย่างดี โดยนายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า จากการจัดงานตลอด 5 วัน มีคนลงทะเบียนและเข้าชมงานทั้งสิ้นประมาณ 12,000 ราย และมียอดจองปลูกสร้างบ้านบนที่ดินรวมทั้งสิ้น 2,100 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2,000 ล้านบาท
สำหรับยอดจองปลูกสร้างบ้านบนที่ดินที่เกิดขึ้นภายในงาน หากมองในด้านระดับราคา จะพบว่า บ้านระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนมากที่สุด 38% รองลงมาเป็นบ้านราคา 5-10 ล้านบาท มีสัดส่วน 30% บ้านราคา 2.5-5 ล้านบาท มีสัดส่วน 16% บ้านระดับราคา 10-20 ล้านบาท สัดส่วน 14% และบ้านราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 2% ตามลำดับ
หากคิดเป็นจำนวนหลังจะพบว่า บ้านราคา 5-10 ล้านบาท มีจำนวนนวนมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 40% รองลงมาเป็นบ้านในระดับราคา 2.5-5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37 % บ้านราคา 10-20 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9 % เท่ากับบ้านราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป และบ้านราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 5% ตามลำดับ
เราจะเห็นว่า บ้านราคา 2.5-10 ล้านบาท ยังเป็นตลาดใหญ่สุดโดยมีสัดส่วนเกือบ 80% โดยเฉพาะบ้านราคา 5-10 ล้านบาท เป็นตลาดที่น่าสนใจทั้งในแง่ของจำนวนที่มีการจองในสัดส่วนมากที่สุด 40% ขณะที่มีมูลค่าการจองเป็นอันดับ 2 โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 30% ของมูลค่าการจองในงานทั้งหมด 2,100 ล้านบาท
สำหรับความเคลื่อนไหวของ บริษัทรับสร้างบ้าน รายใหญ่ๆ ในตลาด จะพบว่า แต่ละรายพยายามขยายฐานตลาดให้กว้างและมั่นคงขึ้น ทั้งการขยายเซ็กเมนต์ไปในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น การเปิดพื้นที่ใหม่ๆ ในการทำตลาด โดยการขยายสาขาเพิ่ม การขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้าน และการออกแบบบ้านใหม่ให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น
ซีคอน เปิดเกมรุกฉลองครบ 60 ปี
ล่าสุด บริษัท ซีคอน จำกัด บริษัทรับ สร้างบ้าน ที่เก่าแก่ที่สุด โดยจะฉลองครบรอบ 60 ปีในปีนี้ พร้อมกับเตรียมแผนรุกตลาดครั้งใหญ่ในคราวเดียวกัน โดยนายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน กล่าวว่า เพื่อฉลองครบรอบ 60ปี บริษัทได้เปิดตัวบริษัท ‘Seacon ID’ บริษัทให้บริการออกแบบและสร้างบ้าน ฟรีสไตล์สำหรับลูกค้าที่อยากได้บ้านตามสไตล์ของตัวเอง
“เราเห็นถึงความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างหลากหลายออกไป โดยลูกค้ากว่า 20% ที่มาคุยกับเราต้องการแบบบ้านของตัวเอง คิดเป็นรายได้กว่า 200 ล้านบาท เราจึงเปิดบริษัท Seacon ID เพื่อรองรับความต้องการและการขยายตัวในส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบอย่างเดียว หรือสร้างบ้านจากแบบที่ลูกค้ามีอยู่ หรือทำให้ครบวงจร คือทั้งออกแบบและก่อสร้าง บริษัท Seacon ID สามารถทำให้ได้ตามที่ต้องการ”
Seacon ID จะให้บริการออกแบบ และรับก่อสร้างแบบบ้านของลูกค้าทุกชนิด ทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านในโครงการ โฮม ออฟฟิศ หรืออพาร์ตเมนต์ เป็นต้น โดยต้องมีพื้นที่ใช้สอย 350 ตรม. ขึ้นไป โดยคาดว่าจะมีรายได้จาก บริษัท Seacon ID ในปีนี้อยู่ที่ 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังพยายามหานวัตกรรมวัสดุก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพการก่อสร้างให้กับลูกค้าเพื่ออยู่สบายและความทนทาน โดยนำเทคโนโลยี ‘บ้านเย็นอยู่สบายปลอดภัยจากมลพิษและเชื้อโรค’ จากญี่ปุ่น มาช่วยระบายความร้อนและลดความชื้นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่ม Oxygen เพื่อการนอนหลับพักผ่อนที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนการใช้สีที่ทนต่อสภาวะอากาศทั้งแดดทั้งฝน รวมถึงป้องกันเชื้อราและแบคทีเรีย และยังมีบริการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟเพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้าทุกบ้านอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การทำตลาดจะให้ความสำคัญกับ Digital Marketing พร้อมกับการจัดงาน Exhibition, Roadshow และ Event ให้มากขึ้น รวมถึงการขยายตลาดไปยังภูมิภาค ไปยังจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีความตั้งใจจะไปให้ครบทั้ง 5 ภูมิภาคของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี
“สำหรับเป้ายอดจองในปี 2564 บริษัทตั้งไว้ที่ 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่ทำได้ 1,300 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าประมาณ 10% โดยมั่นใจว่าตลาดรับ สร้างบ้าน ในปีนี้จะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านขนาดใหญ่ หรือ ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งซีคอนคาดว่านี่จะเป็นทิศทางของตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้ด้วย” นายมนูกล่าว
แลนดี้โฮม ขยายเซ็กเมนต์ 15 ล้านอัพ
ด้านนางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทจะหันมาเจาะตลาดไฮเอนด์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มนิชมาร์เก็ตที่มีกำลังซื้อและความต้องการบ้านหรูในราคาที่คุ้มค่าสูง ประกอบกับความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของบริษัทรับสร้างบ้านยังถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้บริการ โดยเฉพาะในสถานการณ์ Covid-19 ยิ่งส่งผลให้ลูกค้าเลือกพิจารณาบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่มากกว่ารายย่อย โดยคาดว่าในปี 2564 บริษัทจะสามารถเติบโตได้ 15% หรือคิดเป็นมูลค่า 2,400 ล้านบาท
“ในปีที่ผ่านมากลุ่มบ้านหลังเล็กราคา 2-5 ล้านบาท และกลุ่มบ้านขนาดกลางราคา 5-15 ล้านบาท มียอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านลักชัวรี่ตั้งแต่ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป มียอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 16% ทำให้ในปีนี้บริษัทจึงหันมาขยายตลาดในกลุ่มไฮเอนด์มากขึ้น” นางสาวพรรัตน์กล่าว
ขณะที่นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แลนดี้ โฮม กล่าวเสริมว่า จากความต้องการของกลุ่มลูกค้าในการสร้างบ้านหลังใหญ่ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ทางบริษัทจึงเปิดแลนดี้ โฮม สาขาราชพฤกษ์ และเปิด Sale Gallery Landy Grand Flagship Store ที่แรกในประเทศไทย เพื่อเจาะกลุ่มตลาดไฮเอนด์ย่านฝั่งธนฯ ซึ่งจากฐานข้อมูลของบริษัท พบว่าลูกค้ามีความต้องการปลูกสร้างบ้านในย่านฝั่งธนฯ มากพอๆ กับฝั่งกรุงเทพฯ และเพื่อเป็นการฉลองเปิดสาขาใหม่ จึงได้จัดโปรโมชั่นส่วนลด สร้างบ้าน สูงถึง 30% และ Gift Voucher รวมมูลค่าสูงสุด 450,000 บาท
นายพานิช มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท แลนดี้ โฮม กล่าวถึงเทรนด์การสร้างบ้านว่า ด้วยไลฟ์สไตล์ยุคใหม่คนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจสุขภาพ และใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากขึ้น ทางบริษัทจึงเน้นพัฒนาเทคโนโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยภายในบ้าน ภายใต้ Concept Landy Life เพื่อให้คนไทยได้บ้านที่มีมาตรฐาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในราคาที่จับต้องได้ เช่น เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด CAP+ ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5, ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ภายในห้อง เป็นต้น
พีดีเฮ้าส์ เปิดแบบบ้านใหม่รักษ์สุขภาพ
นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพและใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น พีดีเฮ้าส์จึงได้มองหาเทคโนโลยีที่จะช่วยแก้ปัญหามลภาวะในอากาศ ทำให้อากาศภายในบ้านเหมาะสมต่อผู้อยู่อาศัย โดยนำระบบ PD Fresh Airflow เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพมาติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานการสร้างบ้าน เพื่อดึงอากาศภายจากภายนอกเข้ามาสู่ภายในบ้านผ่านระบบกรองอากาศ อันเป็นการสร้างสมดุลและอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน รวมทั้งช่วยป้องกันฝุ่น PM2.5
“เมื่ออากาศภายในบ้านเริ่มมีมลพิษหรือคุณภาพต่ำ ระบบ PD Fresh Airflow จะทำงานโดยอัตโนมัติ ทำหน้าที่ไหลเวียนอากาศผ่านช่องนำอากาศ โดยนำอากาศดีส่งผ่านไปยังพื้นที่อยู่อาศัยในตัวบ้าน ลดความชื้นสะสม และสารก่อภูมิแพ้ ส่วนอากาศที่เป็นมลพิษ จะถูกนำออกไป ทำให้อากาศภายในบ้านบริสุทธิ์และเหมาะสมกับการพักผ่อนของคนในครอบครัว” นายพิศาล กล่าวเพิ่มเติม
ด้านนางสาวถิรพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการตลาด เปิดเผยว่า ในปีนี้พีดีเฮ้าส์ยังคงพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบบ้านให้สอดรับกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ควบคู่ไปกับการนำระบบ PD Fresh Airflow ติดตั้งกับบ้านทุกหลังเพื่อช่วยสร้างสมดุลและสร้างอากาศบริสุทธิ์ที่สำคัญยังป้องกันฝุ่น PM2.5 โดยล่าสุดได้เปิดตัวแบบบ้านซีรีส์ใหม่ Modern Glasshouse ทั้งหมด 4 แบบบ้าน ซึ่งแต่ละแบบจะมีเอกลักษณ์เฉพาะเพื่อให้สอดรับไปกับรูปทรงของตัวอาคาร นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบและสะดวกคุ้มค่ากับพื้นที่ใช้สอยกว่า 300 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 6 ล้านบาทเศษ โดยคาดว่าแบบบ้านซีรีส์นี้จะสามารถทำยอดขายได้กว่า 200 ล้านบาทในครึ่งปีแรก
อ่านเพิ่มเติม
-ธุรกิจรับสร้างบ้าน ท่ามกลางสภาวะ New Normal
ติดตามช่อง Property Mentor Chanel ทาง YouTube
Property Mentor Line Official: https://lin.ee/nE9XYOo4
