fbpx
IMG 7380 1 scaled

ตราเพชร ส่ง “Diamond Studio” เจาะตลาดบ้าน-ร้านสำเร็จรูป

ผลิตภัณฑ์ตราเพชร พร้อมลุยรับตลาดเริ่มฟื้นตัว แตกไลน์สินค้าเจาะตลาดใหม่ จากบ้านแนวราบสู่แนวสูง งานภายนอกสู่งานภายใน ล่าสุดเปิดตัว Diamond Studio บ้าน/ร้านค้าสำเร็จรูป เจาะกลุ่มรับสร้างบ้าน โครงการ และธุรกิจรายย่อย ตั้งเป้าปี 64 โต 5%

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทจะนำจุดแข็งด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์หลังคา บอร์ด ไม้สังเคราะห์ และบริการระบบหลังคาอย่างครบวงจรมาช่วยสร้างฐานการเติบโต ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันการทำตลาด

นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายไลน์สินค้าเพิ่ม เพื่อขยายไปในตลาดใหม่ๆ จากเดิมผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะเน้นเจาะตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบจะเริ่มขยายสู่ตลาดแนวสูงมากขึ้น รวมถึงขยายตลาดจากภายนอกกอาคารสู่ภายในอาคาร เช่น ผลิตภัณฑ์บอร์ดตกแต่งผนังพิมพ์ลายดิจิตอลที่ใช้สำหรับงานผนังภายใน ห้องน้ำสำเร็จรูป และล่าสุด บริษัทได้เปิดตัว Diamond Studio โดยนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทมาพัฒนาเป็นแบบบ้านหรือร้านค้าสำเร็จรูประบบน็อกดาวน์ ขนาด ที่ใช้เวลาติดตั้งเพียง 3 สัปดาห์ในราคา 1.2 ล้านบาท

“เทรนด์การสร้างบ้านหรือร้านค้าสำเร็จรูปเริ่มมีมากขึ้น จากเจ้าของที่ดินที่เริ่มนำที่ดินมาใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจ หลังจากมีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือในธุรกิจท่องเที่ยว ถ้าเริ่มฟื้นตัวและต้องการความรวดเร็ว คืนทุนเร็ว บ้านน็อกดาวน์ น่าจะมีโอกาสในการขยายตลาดได้” นายสาธิตกล่าว

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ตราเพชร มีสินค้าและบริการรวม 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหลังคาและอุปกรณ์ เป็นสินค้าหลักและสินค้าธงของบริษัท ที่มีสัดส่วนรายได้ในปีที่ผ่านมาสูง 60% กลุ่มทดแทนไม้ หรือ กลุ่มไม้ตกแต่ง ไม้สังเคราะห์ กลุ่มบอร์ดตกแต่งผนัง สามารถปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าในอนาคต กลุ่มอิฐมวลเบา และกลุ่มบริการ มีช่องทางจัดจำหน่ายหลัก ได้แก่ ตัวแทนจำหน่าย คิดเป็นสัดส่วน 57% ของรายได้รวมในปี 2563 โมเดิร์นเทรด 16% ส่งออก 16% และโครงการอสังหาริมทรัพย์ 11%


สำหรับในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวมที่ 4,409 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 557 ล้านบาท กระแสเงินสดอยู่ในระดับที่มีความแข็งแกร่ง หนี้สินต่อทุนต่อ และในปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯได้เข้าไปซื้อหุ้นคืนสัดส่วนเพิ่มขึ้น 10% แต่ละปีจะมีกำหนดจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ

นายสาธิต กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดในปี 2564 เริ่มฟื้นตัวกลับมา โดยใน 2 เดือนแรกเห็นสัญญาณที่ดีในทุกช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มของการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่เติบโตขึ้นมาก โดยคาดว่า ในปีนี้ตลาดวัสดุก่อสร้างโดยรวมน่าจะเติบโตได้ 5-10% อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้างฟื้นตัวได้ช้า และกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง และเป็นความท้าทายของบริษัทในการขยายตลาด

นอกจากนี้ หลังจากได้เริ่มเดินเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ NT-11 ในเชิงพาณิชย์ เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์เพิ่มขึ้นอีก 55,000 ตันต่อปี  การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต โดยจะลงทุนติดตั้งโรบอตในไลน์การผลิตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีอยู่ 6 ตัว ตามแผนลงทุนระยะยาว 5 ปี เฉลี่ยปีละ 200-300 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายยกระดับโรงงานสู่ Smart Factory”