fbpx
สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

ชนะ ภูมี นั่งนายกสมาคมอุตฯปูนซีเมนต์อีกสมัย พร้อมสานต่อ Net Zero 2050

สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยภายใต้นายกสมาคม ชนะ ภูมี ประกาศขับเคลื่อนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘TCMA Synergizing the Actions toward Net Zero 2050’ พร้อมนำนวัตกรรมยกระดับอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด เชื่อมโยง Green Funds จากนานาชาติ มุ่งสู่การปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ลดโลกร้อน

ดร. ชนะ ภูมี เข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย หรือ TCMA อีกสมัย พร้อมกับการประกาศวิสัยทัศน์ภายใต้ยุทธศาสตร์ ‘TCMA Synergizing the Actions toward Net Zero 2050’ขับเคลื่อนภารกิจนำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด มุ่งสู่การปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 โดยยืนยันว่าจะผสานความร่วมมือทุกภาคส่วน รวมถึงยกระดับความร่วมมือ TCMA ในเวทีนานาชาติ นำ Green Funds ช่วยอุตสาหกรรมไทยพร้อมรับมือเมกะเทรนด์เศรษฐกิจสีเขียว และเติบโตอย่างยั่งยืน

ดร ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย

TCMA ก่อตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือของผู้ผลิตปูนซีเมนต์ทุกรายในประเทศไทย ที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายระยะยาวร่วมกัน โดยในระยะ 2 ปีนี้ 2567-2569 จะเร่งเดินหน้าผนึกกำลังทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการทำงานให้บรรลุพันธกิจใน 4 ด้าน คือ

1.การพัฒนาและวิจัยปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำชนิดใหม่ๆ เช่น Calcined Clay Cement อย่างต่อเนื่องจากที่ประเทศไทยได้ก้าวสู่ Thailand’s New Era of Low Carbon Cement ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกเป็นปูนซีเมนต์โครงสร้างหลัก เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567

2.การเร่งขยายผลการทำเหมืองให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามนโยบายภาครัฐ พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 เพื่อให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน เช่น การพัฒนาพื้นที่เหมืองร่วม ‘เขาวงโมเดล’ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและชุมชนในพื้นที่ สามารถเป็นแหล่งน้ำและจุดเรียนรู้สำหรับชุมชน

3.การเชื่อมโยงสร้างระบบนิเวศ และนำจุดแข็งของกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มาช่วยจัดการ/สร้างมูลค่าเพิ่มแก่วัสดุที่ไม่ใช่แล้ว (Turn Waste to Value) ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดมลพิษ PM2.5 และที่สำคัญลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย TCMA ตั้งเป้าในปี 2030 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่น้อยกว่า 6.9 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์

4.การนำนวัตกรรมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซีเมนต์เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด (Energy Transition) ครอบคลุมทั้งด้านการเชื่อมโยงนโยบายภาครัฐ การแสวงหาเทคโนโลยีที่เหมาะสม และการเชื่อมโยงแหล่งทุนต่างๆ ในระดับโลก ที่เรียกว่า Green Fund เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เป็นต้น

โดยเร่งขับเคลื่อนโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์-ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ” หรือ “PPP-Saraburi Sandbox: A Low Carbon City” ซึ่งโครงการนี้เป็นการทำงานในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ให้เป็นต้นแบบแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการตัวอย่าง ครอบคลุมทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านพลังงาน 2) ด้านกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ 3) ด้านการจัดการของเสีย (Waste) 4) ด้านการเกษตร (Agriculture) และ 5) ด้านป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน

“สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปี 2567 ประมาณการว่า จะกลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นต้วของภาคการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง การส่งออกที่สามารถกลับมาขยายตัวได้ ซึ่งจะสนับสนุนให้การก่อสร้างของภาคเอกชนทยอยกลับมาเติบโต รวมถึงโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Maga Project) ที่ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงส่งผลต่อกำลังซื้อ โดยตรงของผู้บริโภค (Residential) รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลต่อการลงทุนของภาคเอกชน (Commercial) และการเติบโตของเศรษฐกิจไทย”