fbpx

ซีคอน ขยายธุรกิจอสังหาฯ-โครงสร้างกึ่งสำเร็จรูป ปั๊มรายได้โตยั่งยืน

ซีคอน มั่นใจธุรกิจใหม่ช่วยสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านหรู หลังจับมือนายณ์ ตั้งบริษัทลุยอสังหาฯเต็มตัว พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป ป้อนโครงการอสังหาฯ ชูกลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ขับเคลื่อนองค์กร ตั้งเป้าปี 67 โต 10-15% รายได้รวม 2,300 ล้าน

นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ประมาณ 10-15% จากปี 2566 ที่มียอดขายรวมอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ที่ซีคอนยังคงใช้เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2567 ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1.กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้แนวคิด E-S-G

2.กลยุทธ์การแสวงหาฐานลูกค้ากลุ่มใหม่รวมทั้งพัฒนาโปรดักส์ใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

3.กลยุทธ์ด้านการตลาดยุคใหม่ที่ผสานความสมดุลระหว่างออนไลน์และออฟไลน์อย่างลงตัว เพื่อคงฐานลูกค้ากลุ่มเก่าไว้ในขณะเดียวกับก็สามารถเจาะเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน

“ทั้ง 3 กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ซีคอนได้เริ่มใช้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรได้อย่างแท้จริง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอยู่ในช่วงขาลง แต่ซีคอนก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างดี โดยสร้างยอดขายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา”

สำหรับการเติบโตที่ตั้งเป้าไว้ 10-15% นอกจากรายได้จากธุรกิจรับสร้างบ้านแล้ว อีกส่วนหนึ่งจะมาจากการขยายสู่ธุรกิจใหม่ โดยต่อยอดจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด และสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว ประกอบด้วย

1.การขยายโรงงานผลิตโครงสร้างชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปแห่งที่ 2 ที่ลำลูกกา คลอง 12 บนเนื้อที่กว่า 26 ไร่ มีกำลังการผลิตได้สูงถึง 120,000 ชิ้นต่อปี นอกจากโรงงานแห่งที่ 2 จะสามารถรองรับลูกค้าที่จองสร้างบ้านกับซีคอน และซีคอน ไอดีแล้ว ยังสามารถทำตลาดกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าบ้านเดี่ยว ลูกค้ากลุ่มธุรกิจรีสอร์ท หรืออพาร์ทเมนต์ได้อีกด้วย

2.การร่วมทุน(Joint Venture) กับบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ตั้งบริษัท นายณ์ แอนด์ ซีคอน โดยที่ซีคอนถือหุ้นในสัดส่วน 30% เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับบนราคาเริ่มต้น 20-28 ล้านบาท ที่งามวงศ์วาน และกาญจนาภิเษกตัดกัลปพฤกษ์ มูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท โดยซีคอนจะทำหน้าที่ในการก่อสร้างบ้าน คาดว่าจะเปิดโครงการแรกทีงามวงศ์วานได้ในต้นปี 2568

นอกจากการขยายธุรกิจใหม่แล้ว ยังมีปัจจัยที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัท ได้แก่ การเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของธุรกิจ (Business Sustainability) ด้วยกลยุทธ์ ESG ที่องค์กรต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (E-Environment) และสังคม (S-Social) รวมถึงการวางระบบ กำกับกิจการที่ดี (G-Governance) ตลอดจนการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยคำนึงถึงการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบองค์รวม

แนวทางดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้ใจ และเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องของ branding ได้เป็นอย่างดี

ส่วนการทำตลาดได้ผสานการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์อย่างสมดุล ซึ่งปัจจุบันฐานลูกค้าในออนไลน์ของซีคอนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกปีและสามารถแปลงมาเป็นยอดขายได้เป็นอย่างน่าพอใจ สอดคล้องกับการเติบโตของยอดขายในกลุ่มตลาดออฟไลน์ ที่ซีคอนได้จัดกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายเพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพโดยตรง ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2567 ซีคอนจะร่วมออกบูธใน 2 งานใหญ่ ประกอบด้วย งานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Focus 2024 จัดขึ้นในวันที่ 17-25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่อิมแพ็ค ฮออล์ 8 เมืองทองธานี และงานบ้านและสวน Select 2024 จัดขึ้นในวันที่ 23-31 มีนาคม 2567 ที่ไบเทค บางนา

ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดตัว 6 แบบบ้านใหม่ภายใต้แนวคิด Greenery SEACON ด้วยหัวใจหลักของการพัฒนาที่เน้นการนำธรรมชาติมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่ปัจจุบันมีพื้นที่จำกัด ท่ามกลางมลภาวะรอบด้านของเมืองในปัจจุบัน ผ่านทาง courtyard หรือลานกลางบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวเอเชีย ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์และจินตาการของเจ้าของบ้านเอง ปิดกั้นจากความวุ่นวายภายนอก นอกจากจะให้ความสงบบริเวณใจกลางบ้านแล้ว ลานดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ถ่ายเทอากาศและรับแสงธรรมชาติ ทั้งยังเป็นจุด view point ของห้องสำคัญทุกห้องภายในบ้านอีกด้วย