fbpx
Quintara MHyDEN

อีสเทอร์น สตาร์ ขยับลงทุนผุด 3 คอนโด 3 สไตล์ จับกลุ่ม Gen Y

อีสเทอร์น สตาร์ ขยับลงทุนเพิ่ม ปี 66 ลุยคอนโดระดับกลาง 3 โครงการ 3 ทำเล มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้าน เจาะลูกค้า Gen Y พร้อมขยายโครงการในจ.ระยองต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวบ้านเดี่ยวสไตล์อังกฤษ บรีซ ชาเลต์ ตั้งเป้ายอดขาย 3,100 ล้าน โต 50% กวาดรายได้ 1,700 ล้าน

ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 ว่า กำลังซื้อกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริงกำลังฟื้นตัว ผู้ซื้อเริ่มมีความมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจมากขึ้น จะเห็นได้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนกำลังกลับมาขับเคลื่อนได้เต็มรูปแบบส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้มีทิศทางบวก เมื่อผนวกกับมาตรการรัฐที่สนับสนุนกำลังซื้อภาคอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งมีส่วนกระตุ้นให้ภาคธุรกิจมีความคึกคัก

ขณะที่การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะแข่งขันในอัตราเร่ง ที่อยู่อาศัยที่ยังเป็นซัพพลายเดิมจะถูกเร่งขายเร่งโอน ขณะที่ซัพพลายใหม่เริ่มมีเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ตลาดใหญ่ยังคงเป็นตลาดระดับกลางที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง โดยในปีที่ผ่านมาพบว่าตลาดที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมคือ อาคารชุดที่ราคา 3-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้านบาท

“แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนภาคอสังหาฯ แต่ที่หายไป คือ มาตรการผ่อนปรนการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยได้กลับมาคุมอัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาบ้าน หรือ Loan-to-value ratio หรือ LTV ขณะที่กำลังซื้อในระบบก็ยังมีอยู่ แต่เงินในกระเป๋าของผู้ซื้อไม่พอ สิ่งที่เราทำคือ กลับมาดูราคาปรับมาร์จิ้นลงบ้างเพื่อให้สามารถขายของได้จะดีกว่าทำโครงการแล้วเหนื่อย โดยราคาที่เราทำในปีนี้จะเน้นกลุ่มราคากลางๆ แต่ก็มีบางโปรดักส์ที่ลงล่างบ้างแต่ไม่มาก

ส่วนการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายขยับจากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี จะบอกว่าไม่มีผลกระทบก็คงไม่ใช่ ก็ต้องมาติดตามดูกันสำหรับตลาดในราคาล้านกว่าๆ” ดร.ต่อศักดิ์กล่าว

สำหรับทิศทางและกลยุทธ์ของบริษัทในปี 2566 จะใช้ความโดดเด่นในการพัฒนาดีไซน์และคุณภาพสินค้ามาเป็นจุดแข็ง เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน มุ่งเจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง Gen Y โดยพัฒนาที่อยู่อาศัยทุกโครงการภายใต้แนวคิด Creator of Life’s Pleasure สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ จากความเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ใน 3 แกนหลักคือ Design ,Green และ Living สร้างสรรค์การอยู่อาศัยแบบ Smart life อย่างสมบูรณ์รอบด้าน

ในปีนี้บริษัทจะกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายอย่างชัดเจน โดยจะมีสินค้าบุกตลาดในรูปแบบบ้านเดี่ยวบนทำเลโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และโครงการอาคารชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยจะมีการเปิดตัวซีรีส์ใหม่ “มาย” (MHy) 3 ทำเล ภายใต้แบรนด์ควินทารา ในกลุ่มตลาด Affordable บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ รวม 3 โครงการมูลค่า 4,150 ล้านบาท ประกอบด้วย

โครงการ Quintara MHy’DEN โพธิ์นิมิตร คอนโดฯ ไฮไรส์ 40 ชั้น 628 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท เป็นอาคารสูงตัวแรกของทางแบรนด์ควินทารา ที่ดีไซน์ให้มีความหลากหลายของขนาดยูนิต ฟังก์ชันใช้สอยครบตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คน Gen Y เปิดราคาเริ่มที่ 2.69 ล้านบาท ราคาต่อตารางเมตร(ตร.ม.) กว่า 1 แสนบาท

โครงการ Quintara MHy’GEN รัชดา-ห้วยขวาง คอนโดฯ โลวไรส์ 2 อาคาร 383 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,050 ล้านบาท ตอบโจทย์คน Gen Y ที่ชอบสไตล์มินิมอล-น้อยแต่มาก การทำงานจากที่บ้านและการพักผ่อน ราคาเริ่ม 2.09 ล้านบาท ราคาขายต่อตร.ม.ประมาณ 80,000-90,000 บาทต่อตร.ม.

โครงการ Quintara MHy’ZEN พร้อมพงษ์ คอนโดฯ โลวไรส์ 2 อาคาร 276 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ราคาเริ่ม 2.29 ล้านบาท ราคาขายต่อตร.ม.กว่า 1 แสนบาท

“การพัฒนาโครงการเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการยังเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจซื้อ จุดนี้ถือเป็นความได้เปรียบของเรา ที่มีแลนด์แบงค์ในทำเลติดและใกล้รถไฟฟ้า ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของโครงการจะอยู่ในกลุ่ม Mid-High ซึ่งเป็นคน Gen Y มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ชอบความเป็นส่วนตัว และต้องการใช้พื้นที่ของตัวเองอย่างคุ้มค่า สามารถจ่ายในราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยาก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันในตลาดคอนโดฯระดับกลางได้ดีที่สุดของบริษัท”

ส่วนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว ในพื้นที่ภาคตะวันออก จ.ระยอง ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการใหม่ คือ โครงการบรีซ ชาเลต์ มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท รูปแบบบ้านเดี่ยวสไตล์อังกฤษในทำเลบูรพาพัฒน์-สุขุมวิท ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 10 หลัง มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท เป็นหนึ่งในโครงการทำเลใหม่บนเนื้อที่รวม 200 ไร่

ก่อนหน้านี้ ได้พ้ฒนาโครงการแนวราบไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ BREEZE ใกล้จะปิดโครงการ และโครงการ TERRA PRIMA จำนวน 200 หลัง มียอดขายไปแล้ว 1 ใน 3 โดยทางโครงการยังมีที่ดินอีกประมาณ 100 ไร่ รองรับการพัฒนาโครงการต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี คาดพัฒนาจนครบทั้งโครงการจะมีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท

ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวถึงเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2566 ว่า ได้วางเป้ายอดขายรวมที่ 3,100 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 50% มีรายได้รวม 1,700 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 2567 รายได้รวมจะเพิ่มเป็น 2,000-3,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้