fbpx

แคปปิตอล วัน ปรับกลยุทธ์รับมือจีนยังไม่คัมแบ็ก หันเจาะตลาดไทย-ต่างชาติ

ซีอีโอ แคปปิตอล วัน เผยตลาดอสังหาฯสำหรับคนต่างชาติเริ่มฟื้นตัว ขณะที่กำลังซื้อจากคนจีนยังต้องรออีก 2-3 ปี เร่งปรับกลยุทธ์รับมือ เน้นเจาะตลาดคนไทยและชาติอื่นๆ พร้อมขยายฐานตลาดลักชัวรี่มากยิ่งขึ้น

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด และ เคลเลอร์ วิลเลี่ยม ไทยแลนด์ บริษัทตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์และที่ปรึกษาด้านการบริการตลาดและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยว่า มีการปรับตัวดีขึ้น จากฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ กัมพูชา และประเทศเมียนมา ซึ่งแต่ละประเทศมีการลงทุนและซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่างกัน

ในกลุ่มผู้ซื้อที่มาจากสหรัฐอเมริกา มีความต้องการคอนโดมิเนียมในระดับราคา 1-5 แสนเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.6 ล้านบาท ไปจนถึง 15 ล้านบาท (ค่าเงินบาทเฉลี่ย 36 บาทต่อดอลลาร์) หากเป็นเพื่อการอยู่อาศัย จะเน้นที่เมืองพัทยา และ ภูเก็ต ส่วนที่เน้นเพื่อการลงทุน (ปล่อยเช่า) จะเลือกและสนใจคอนโดมิเนียมในโซนสุขุมวิทใจกลางศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี) เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนไทยที่ทำงานอยู่ในสหรัฐเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจและเติบโต ต้องการซื้อบ้านเพื่อกลับมาอยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ระดับราคาที่สามารถซื้อได้ เช่น บ้านราคา 2 แสนเหรียญสหรัฐ ประมาณ 7 ล้านบาท ขณะที่ราคาบ้านในสหรัฐมีราคาแพงราว 8 แสนเหรียญสหรัฐ

สำหรับตลาดที่เป็นผู้ซื้อจากประเทศกัมพูชา และ เมียนมา พบว่า ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมมีสูงต่ออย่างเนื่อง ส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อ จะเป็นเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอี ต้องการห้องชุดในระดับราคา 3-4 ล้านบาท จะซื้อด้วยเงินสด เพราะต้องการมีที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เป็นต้น

สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในกลุ่มลูกค้าต่างชาตินั้น นายวิทย์ ให้ความเห็นว่า กำลังซื้อจากชาวจีนที่เป็นฐานใหญ่ของตลาดคอนโดมิเนียมโควต้าต่างชาติ เริ่มหายไปค่อนข้างมาก คาดปีนี้ลดลงไประมาณ 20-30% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งในเวลานั้น ตลาดชาวจีนก็เริ่มมีสัญญาณจะไม่ดี เป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างประเทศจีนกับประเทศสหรัฐที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง

“จากข้อมูลที่เรามี คาดลูกค้าจีนจะกลับมาปกติอย่างน้อย 2-3 ปี รอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนก่อน ทำให้บริษัทแคปปิตอล วันฯ ต้องปรับกลยุทธ์มาเน้นตลาดกลุ่มคนไทยและตลาดต่างประเทศอื่นๆ ที่ยังมีกำลังซื้อที่ดีในบาง Segment ที่ไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา”

นายวิทย์ กล่าวถึงแผนธุรกิจในการรุกบริหารลูกค้าในตลาดลักชัวรี่ ว่า จากตัวเลขยอดขายตลาดลักชัวรี่ ในกลุ่ม A++ มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นทั่วโลก โดย Keller Williams Luxury มียอดขายทั่วโลกในตลาดนี้มากกว่า 58,443 หน่วย ในกลุ่มระดับราคาที่สูงกว่า 35 ล้านบาทในปี 2564 และมียอดขายรวมทั้งสิ้นในตลาดลักชัวรี่ มากกว่า 103.6 พันล้าน USD ทั่วโลก ซึ่ง Keller Williams Luxury เป็นผู้นำในด้านตลาด Luxury Real Estate

หลังจากที่บริษัทได้เปิดใช้แบรนด์ Keller Williams Luxury Thailand เพื่อให้บริการทางด้านอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ สำหรับลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งได้ผลตอบรับค่อนข้างดีมาก โดยปัจจุบันบริษัทได้ขยายพอร์ตเข้าไปรับบริหารแล้ว 4 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ 2 โครงการ และ โครงการวิลล่า 2 โครงการ หลักๆ เป็นโครงการในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญและได้รับความนิยมอย่างมาก ได้แก่ พัทยา และภูเก็ต ที่มียอดขายดีมาก โดยสินค้าที่บริหาร มีจะห้องชุดราคาตั้งแต่ 300,000 บาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.) ไปจนถึงระดับราคา 500,000 บาทต่อตร.ม. และบ้านเดี่ยวลักชัวรี่ ราคาตั้งแต่ 40 ล้านบาท ไปจนถึงหลังละ 170 ล้านบาท เป็นต้น

“เราได้ทำแผนธุรกิจในการรุกตลาดลักชัวรี่มากยิ่งขึ้น ซึ่งในปี 2567 จะเห็นเป้าหมายของการทำตลาดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งการเติบโตของการเข้าไปบริหารโครงการ ยอดขาย และแผนกลยุทธ์ในการให้บริการเฉพาะลูกค้ากลุ่มลักชัวรี่”นายวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย