fbpx
Noble Next Is Now 2 scaled

โนเบิล พร้อมลุยอสังหาฯปี 66 เปิด 10 โครงการใหม่ ปั๊มยอดขาย 2.3 หมื่นล.

โนเบิล เปิดเกมรุกอสังหาฯปี 66 เตรียมเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 23,300 ล้าน บุกตลาดทั้งบ้าน-คอนโด รับเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ตั้งเป้าโกยยอดขาย 23,000 ล้าน รายได้ 15,000 ล้าน

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันของโรคโควิด-19 ประกอบกับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวของไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดี เกิดการจ้างงานมากขึ้น ส่งผลให้ประชากรภายในประเทศมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ล่าสุดรัฐบาลจีนก็มีการประกาศปลดล็อคและเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยบวกใหม่ที่จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยคึกคักมากขึ้น และจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยด้วยจากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน

“ในปี 2566 ตัวเลขชี้วัดทุกอย่างดูดีขึ้น ถือว่าเป็นปีที่ไม่เลวร้ายจนเกินไป ถึงแม้ว่าจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยมีปัจจัยที่ท้าท้ายคือ โควิด-19 ที่กำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น และภาวะเงินเฟ้อที่กดดันให้หลายๆ ประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ และกำลังซื้อผู้บริโภคที่จะลดลง แต่สำหรับประเทศไทยยังได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าหลายๆ ประเทศ เท่าที่ประเมินในปีนี้อาจจะปรับขึ้นเพียง 0.25% ซึ่งจะทำให้ผลกระทบน้อยกว่าที่เคยคาดเอาไว้ สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยบ้านแนวราบยังคงเป็นพระเอก ขณะที่คอนโดมิเนียมจะกลับมาดีขึ้นมากจากลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนที่เปิดประเทศ แต่คงจะไม่ได้กลับมาทันที อาจจะต้องรอถึงไตรมาสที่ 3 ถึงจะเห็นภาพที่ชัดเจน” นายธงชัยกล่าว

สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในปี 2566 จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2565 โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทเปิดขายโครงการใหม่ตลอดทั้งปีจำนวน 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 31,550 ล้านบาท สามารถกวาดยอดขาย (Pre-sale) ได้ที่ระดับ 17,400 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือรวมมูลค่ากว่า 19,000 ล้านบาท ถือเป็นยอดขายและยอดขายรอโอนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา (All-time high)

ในปี 2566 บริษัท มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัย (Demand) ที่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว รวมทั้งความต้องการบ้านหลังที่สองของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศ โดยในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 23,300 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายที่ 23,000 ล้านบาท และรายได้ 15,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการใหม่ในปี 2566 แบ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,400 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม High Rise จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 9,900 ล้านบาท โดยโครงการจะกระจายตัวอยู่ทุกทิศของกรุงเทพฯ เช่น แถบกรุงเทพตะวันตก และตะวันออก เป็นต้น รวมถึงทำเลกลางใจกลางเมือง อาทิ ถนนวิทยุ เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทมีที่ดินพร้อมสำหรับรองรับการพัฒนาโครงการแล้วทั้งหมด

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนเปิดโครงการที่เน้นเจาะกลุ่ม Ultra Luxury Segment เพิ่มขึ้น จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการโนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ บ้านเดี่ยวติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โครงการโนเบิล เทอร์รา พระราม 9 – เอกมัย บ้านเดี่ยวใจกลางทำเล CBD พระราม 9 – เอกมัย และโครงการโนเบิล อเวย์ ชะอำ บีชฟร้อนท์ ที่ดินหน้ากว้างติดทะเล ใจกลางตัวเมืองชะอำ นอกจากนี้ บริษัทยังมีพันธมิตรรายใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการพูดคุย เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ถ้าได้ข้อสรุปก็จะมีโครงการที่เปิดเพิ่มเติมในปีนี้

ขณะเดียวกันบริษัท ยังมีสินค้ารองรับความต้องการอยู่อาศัยของผู้บริโภคในทุกสถานะการก่อสร้าง โดยมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) ในปี 2566 มูลค่ารวมประมาณ 11,300 ล้านบาท และสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมูลค่ารวมประมาณ 18,700 ล้านบาท ซึ่งรองรับผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งแบบอยู่อาศัยเองหรือเพื่อลงทุน ซึ่งจะผลักดันยอดขายและรายได้ในปีนี้ของบริษัทฯ ให้เติบโตสูงขึ้นอีกดัวย

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวจีนในประเทศไทยเปลี่ยนไป หันมานิยมซื้อที่อยู่อาศัยที่เป็นบ้านหลังที่สองแบบสร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้วมากขึ้น เพราะสามารถเห็นโครงการจริงและวิวจริง ซึ่งสามารถชมโครงการได้หลายรูปแบบทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ อีกทั้งยังมีความต้องการห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการอยู่อาศัยเองทั้งครอบครัวจากเดิมที่นิยมซื้อเพื่อลงทุน โดยที่ผ่านมาบริษัท ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลพระราม 9 ซึ่งเป็นย่านนิยมของนักลงทุนต่างชาติติดห้างเซ็นทรัลพระราม 9 คือโครงการ นิว ดิสทริค อาร์ 9 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้วกว่า 75% ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากทั้งลูกค้าชาวไทยและลูกค้าต่างชาติ”

“จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ ประกอบกับ Backlog ที่มีในมือ รวมถึงโครงการแนวราบที่จะทยอยส่งมอบในปีนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 อย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเห็นการเติบโตของรายได้รวมที่ระดับ 15,000 ล้านบาท” นายธงชัยกล่าวปิดท้าย